แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความสุข แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความสุข แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

40 วิธีทำตัวไม่ให้ "แก่"

40 วิธีทำตัวไม่ให้ "แก่"

1. ไม่อ้วนไม่ผอม

2. ไม่เที่ยว ดื่มน้ำสะอาด ทาครีม กางร่ม ฯลฯ

3. อย่าดัดผม อย่ายีผม อย่าฉีดสเปรย์

4. อย่าแต่งหน้าสีสันจัดจ้าน อย่าเขียนขอบตาสีดำ อย่าใส่ขนตาปลอม

5. อย่าจีบปากจีบคอ รอบๆ ริมฝีปากจะได้ไม่ย่น

6. อย่าหมกมุ่นเรื่องอดีต

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559

พออายุเริ่มมากขึ้น ถึงค่อยเข้าใจ

พออายุเริ่มมากขึ้น ถึงค่อยเข้าใจ

* ใส่นาฬิการาคาสามร้อย หรือสามล้าน เวลาก็ตรงกัน
* หิ้วกระเป๋าสามร้อย หรือสามหมื่น ในกระเป๋าก็ใส่เงิน ได้เหมือนๆกัน
* ดื่มเหล้าสามสิบ หรือสามพัน เวลาอาเจียนก็เหมือนกัน
* อยู่บ้านสามสิบตารางวา หรือสามร้อยตารางวา เวลาโดดเดี่ยวก็ไม่ต่างกัน
* วันหนึ่ง คุณจะเข้าใจความสุขที่แท้จริง ในใจคุณไม่ใช่อยู่ที่สมบัติพัสถาน
* สูบบุหรี่สิบบาท หรือร้อยบาท ก็เป็นมะเร็งปอดเหมือนกัน
* นั่ง First Class หรือ Economy เวลาเครื่องเกิดอุบัติเหตุ ก็กลับมาไม่ได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้น คิดให้เข้าใจพอเพียง ถึงมีความสุขถาวร
สิ่งสำคัญ... ขอแค่มีเพื่อนเก่าๆอยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน ไร้สาระบ้าง หัวเราะกันบ้าง จิปาถะ โน่น นี่ นั่น จึงเป็นสิ่งที่มีความสุข...
จริงมั้ย?? มีใครจะปฏิเสธบ้าง..!!

แล้ววันนี้คุณคิดถึงเพื่อนคนไหน?

อย่าลืมบอกเขา_ส่งให้เพื่อนของคุณที่คุณรัก

ที่มา: Forward Line

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

ฉันคือ " ตับ " ของคุณ

ฉันคือ " ตับ " ของคุณ
อ่านดูนะครับ แล้วคุณจะรักตัวคุณและคนที่คุณรักมากขึ้นครับ
หวัดดี...ฉันคือตับ ของคุณ ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด 9 ข้อ นะครับ..
1. ฉับสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป
2. ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณ หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่
3. ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฏหมายทั้งหลาย หากไม่มีฉันแล้วนิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว
4. ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท , กลูโคส และ ไขมัน) ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมัน หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป
5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก หากไม่มีฉันแล้วก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่
6. ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการ เพื่อการมี สุขภาพดีและเจริญเติบโต
หากไม่มีฉันแล้วคุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร
7. ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป หากไม่มีฉันแล้วคุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น
8. ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด หากไม่มีฉันแล้วคุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด
9. ฉันคอยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่
อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง หากไม่มีฉันแล้วคุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี
ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน...
แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม ?
ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รัก ฉัน , ตับ ของคุณ
อย่ากดฉันให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย
สำหรับบางคนแล้วเพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต
ระวังบรรดา " ยา " ทั้งหลาย
ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี
และเมื่อคุณเอามันมาผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ มันก็กลายเป็นยาพิษ ที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละ
ฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย
บางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ การกินยาเกินความจำเป็น เป็นนิสัยไม่ดี บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้
จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย
จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่างที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย
ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์ ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย
อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมี ระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป
ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้น สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วย
ป้องกันผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้งที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง
คำเตือน
ฉันไม่สามารถและไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหา จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้ว
จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น ให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะ สามารถทำร้ายฉันได้!
นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ
โปรดฟังคำแนะนำฟรี
พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ
การตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้
ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่
ถ้าคุณหมอสงสัย การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้
อายุของฉัน คืออายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน
คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันรักคุณแค่ไหน
ได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน
จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบ และคู่รักนิรันดร ของคุณ
ฉันเอง
คุณตับ

โปรดส่งต่อให้คนที่คุณรักด้วยครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชมรมคนรักสุขภาพ

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

10 อย่างที่ “ควรทิ้ง” เพื่อชีวิตที่มีความสุข

10 อย่างที่ “ควรทิ้ง” เพื่อชีวิตที่มีความสุข
“ความสุข” ไม่ใช่เป้าหมาย แต่มันคือความรู้สึกของเรา ที่เราสามารถเลือกได้ ควบคุมได้
แต่หลายๆ คนมักจะลืม หลายๆ คนไขว่คว้าหาความสุขมาทั้งชีวิต แต่หารู้ไม่ว่ามันอยู่ที่การปรับมุมมองของเราในชีวิตเท่านั้นเอง…
และนี่คือ 10 อย่างในชีวิตที่ถ้าคุณยังมีอยู่…คุณ “ควรทิ้ง” มันซะ เพื่อชีวิตที่จะมีความสุขมากขึ้น!
1. ทิ้ง “ความอิจฉา”
เมื่อคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ มันจะดีก็ต่อเมื่อ มันเป็นแรงบันดาลใจให้คุณในการแข่งขัน และพัฒนาตัวเอง แต่มันจะเริ่มไม่ดี ถ้าความสำเร็จของคนอื่นทำให้คุณรู้สึกริษยา และไม่สามารถยินดีกับคนนั้นได้ นี่จะทำให้คุณทุกข์เอง
2. ทิ้ง “ความกลัวที่จะเปลี่ยน”
หลายๆ ครั้ง แม้สถานการณ์ปัจจุบันมันจะแย่แค่ไหน คนเราก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยน กลัวที่จะเปลี่ยน เพราะกลัวสิ่งใหม่ มากกว่า แต่คุณหารู้ไม่ว่า บางที่สิ่งใหม่มันอาจจะดีกว่าสิ่งที่คุณเจออยู่มากมายก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น กล้าที่จะเปลี่ยนเถอะ
3. ทิ้ง “ความคิดที่ว่า ทุกอย่างต้องอยู่ในความควบคุม”
คนจำนวนไม่น้อย ชอบความเป๊ะ ชอบให้ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม เป็นไปตามแผน แต่พอมันไม่เป็นไปตามนั้น ก็จะทุกข์ เพราะฉะนั้น ปล่อยวาง ทำให้เต็มที่ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็รับมันซะ ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้หมดจริงๆ หรอก
4. ทิ้ง “การทำงานที่มากเกินไป โดยเฉพาะ OT”
เพื่อความสำเร็จ เพื่อหน้าที่การงาน หรือเพื่อเงิน ทำให้หลายๆ คนทำงานหนัก หนักเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพิกเฉยความสำคัญของสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิต นี่ไม่ควรเลย เพราะสุดท้าย เมื่อคุณสำเร็จจริงๆ คุณจะเสียดายในหลายๆ อย่างที่คุณเสียไป และเอากลับคืนมาไม่ได้ อย่างเช่น เวลา หรือครอบครัว
5. ทิ้ง “การโทษคนอื่น หรือสิ่งอื่น”
หลายๆ คน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะต้องหาสิ่งของ หรือ คนมารับผิดชอบให้ได้ ต้องโทษนู่น โทษนี่ตลอดเวลา เปลี่ยนจากแบบนั้น มาเป็นการนั่งมองที่ปัญหา และช่วยกันแก้ไขดีกว่านั้น
6. ทิ้ง “การบ่น หรือตำหนิตลอดเวลา”
แทนที่จะบ่น ตำหนิ เรื่องไม่ดี ที่ไม่ได้ดั่งใจเราตลอดเวลา เปลี่ยนมุมมองใหม่ เป็นการตั้งสติ มองว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร และแก้ไขอย่างไร แบบนี้คุณจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย
7. ทิ้ง “ความคิดที่ว่าจะต้องถูกเสมอไป”
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง การที่ต้องมานั่งเครียด กลัวว่าเราจะไม่ “สมบูรณ์แบบ” นั้น มันทำให้คุณไม่มีทางมีความสุขได้เลย ปล่อยวาง และยอมรับในธรรมชาติของมนุษย์เสียเถอะ
8. ทิ้ง “ความเชื่อที่จำกัดความสามารถคุณ”
บางคนมักมีความเชื่อที่ว่า เราทำนู่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้ เราทำได้แค่นี้แหละ พอแล้ว ความคิดเหล่านี้ เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในชีวิต ที่จะทำให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก หรือท้าทายไปสู่ความสำเร็จจริงๆ
9. ทิ้ง “เพื่อนแย่ๆ”
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้น อยากเป็นคนแบบไหน การคบเพื่อนคือเรื่องสำคัญ ถ้าเพื่อนดี คุณก็ดีไปด้วย ถ้าเพื่อนไม่ดี คุณก็พลอยแย่ไปด้วยนั่นเอง
10. ทิ้ง “อดีต”
อดีต คือประสบการณ์ที่มีทั้งดี และไม่ดี มันคือสิ่งที่สร้างตัวตนของเราขึ้นมา แต่มันไม่ควรเป็นสิ่งที่รวบรวมความเสียใจในอดีต และทำให้คุณก้าวไปไหนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันเป็นแบบนั้น ปล่อยวาง และทิ้งมันไปบ้างก็ได้
Credit : Forwarded Line
ชุลีพร ช่วงรังษี

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความสมดุลย์ นำความสำเร็จมาให้

***ความสมดุลย์ นำความสำเร็จมาให้***

"ความภูมิใจ"ในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าภูมิใจมากเกินไป
จนกลายเป็น "พูดข่ม" คนอื่นไปทั่ว
คุณจะกลายเป็นคน "คุยโว โอ้อวด"

"ความมั่นใจ" ในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ถ้ามั่นใจมากเกินไป
จนกลายเป็นคน "ไม่ฟัง" ใคร
คุณจะกลายเป็นคน "หยิ่งยะโส"

"ความรู้" เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ
แต่ถ้ามีความรู้มาก
จนคิดว่าตัวเอง "ถูกเสมอ"
คุณจะกลายเป็นคนมี "อีโก้"

"ความอ่อนน้อม"จะทำให้คุณเป็นคนน่ารัก
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็น "ยอม" ทุกคน
คุณจะกลายเป็นคน "อ่อนแอ"

"ความจริงจัง" จะทำให้คุณดูมุ่งมั่น
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็น "หวังผลลัพธ์สูง"
คุณจะกลายเป็นคน "เครียด" ตลอดเวลา

"ความนิ่ง" จะทำให้คุณดูสุขุม
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็นความ "เฉื่อยแฉะ"
คุณจะกลายเป็นคน "ไร้น้ำยา"

"บริหารตัวเองให้สมดุลย์"

"ภูมิใจ แต่ เคารพผู้อื่น"
"มั่นใจ แต่ พร้อมรับฟัง"
"อ่อนน้อม แต่ แข็งแกร่ง"
"จริงจัง แต่ มีความสุข"
"นิ่ง แต่ มีพลัง"

นี่คือ ***ความสมดุลย์ นำความสำเร็จมาให้***

"ความภูมิใจ"ในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าภูมิใจมากเกินไป
จนกลายเป็น "พูดข่ม" คนอื่นไปทั่ว
คุณจะกลายเป็นคน "คุยโว โอ้อวด"

"ความมั่นใจ" ในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ถ้ามั่นใจมากเกินไป
จนกลายเป็นคน "ไม่ฟัง" ใคร
คุณจะกลายเป็นคน "หยิ่งยะโส"

"ความรู้" เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ
แต่ถ้ามีความรู้มาก
จนคิดว่าตัวเอง "ถูกเสมอ"
คุณจะกลายเป็นคนมี "อีโก้"

"ความอ่อนน้อม"จะทำให้คุณเป็นคนน่ารัก
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็น "ยอม" ทุกคน
คุณจะกลายเป็นคน "อ่อนแอ"

"ความจริงจัง" จะทำให้คุณดูมุ่งมั่น
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็น "หวังผลลัพธ์สูง"
คุณจะกลายเป็นคน "เครียด" ตลอดเวลา

"ความนิ่ง" จะทำให้คุณดูสุขุม
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็นความ "เฉื่อยแฉะ"
คุณจะกลายเป็นคน "ไร้น้ำยา"

"บริหารตัวเองให้สมดุลย์"

"ภูมิใจ แต่ เคารพผู้อื่น"
"มั่นใจ แต่ พร้อมรับฟัง"
"อ่อนน้อม แต่ แข็งแกร่ง"
"จริงจัง แต่ มีความสุข"
"นิ่ง แต่ มีพลัง"

นี่คือ ศาสตร์แห่งความ "สมดุลย์"

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

9 กำลังใจ อ่านกี่ครั้งๆก็ไม่เบื่อ

9 กำลังใจ อ่านกี่ครั้งๆก็ไม่เบื่อ

1. อย่ากลัว การเริ่มต้นใหม่
และอย่าแคร์ สายตาใคร
ตราบใดที่เรา ยังหายใจ
ด้วยจมูกของเราเอง

2. คนอื่น ไม่ให้โอกาสเรา
ยังไม่น่าเศร้า เท่ากับเรา
ไม่ให้โอกาสตัวเอง

3. กระจก ไม่เคยดูถูกใคร
มีแต่คนที่ไม่มั่นใจ ที่ดูถูกตัวเอง

4. คนฉลาด ไม่ใช่ผู้ที่ ชนะการโต้แย้ง
แต่คนฉลาด คือผู้ที่ออกห่าง
จากการโต้แย้ง ตั้งแต่เริ่มต้น

5. คนที่ใช้ชีวิตคุ้มค่า คือ
คนที่ได้ทำ ในสิ่งที่อยากทำ
ไม่ใช่เพราะได้ทำ
ในสิ่งที่ คนอื่นอยากให้ทำ

6. อย่าเป็นคนเก่ง ที่แล้งน้ำใจ
แต่จงเป็น คนธรรมดาทั่วไป
ที่มีน้ำใจ และไม่เห็นแก่ตัว

7. มองปัญหา ให้เหมือนกับ เม็ดทราย
ถึงจะเยอะมากมาย แต่เม็ดทราย ก็เล็กนิดเดียว

8. ไม่มีใครดีเลิศหรือ เพอร์เฟค หรอก
เพราะขนาดดินสอ ยังต้องมียางลบ

9. ใครจะดูถูกเรา ก็ปล่อยให้เค้าดูถูกไป
แต่จงท่องให้ขึ้นใจว่า เราจะไม่ดูถูกตัวเอง

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

จาก ประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุด ที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน

อาจารย์ท่านหนึ่ง ของมหาวิทยาลัย Cornell ชื่อ Karl Pillemer ซึ่ง ได้ไปสัมภาษณ์ชาวอเมริกัน ที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยคำถามเด็ดนั้นอยู่ที่ว่า “จาก ประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุด ที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” แล้ว ก็นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ แต่เขาได้คัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการ ที่โดดเด่นเอาไว้ครับ โดยบทเรียนทั้ง 10 ประการ ประกอบด้วย

1. ให้เลือกอาชีพโดย
ดูจากความต้องการ ภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่า ความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ

2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกาย
เหมือนกับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเรา ไม่ว่าจะเป็นการ สูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อสูงวัย

3. ตอบตกลงต่อโอกาส
ที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาส หรือความท้าทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจ หรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือก คู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดู และทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกัน จนกว่าจะรู้จักอีกฝ่ายหนึ่งอย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ (ชอบมากครับ) เมื่อมีโอกาสให้เดินทางครับ คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่าง ๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้ พูดในสิ่งที่อยากจะพูด เนื่องจากเรามักจะเสียใจ และเสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลาย ๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิต อยู่เท่านั้นนะครับ

7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้น แต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้านะครับ แต่ให้ ทำในสิ่งที่สำคัญ และมีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจาก เงื่อนไขต่าง ๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเรา เองตลอดชีวิตเรา

9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่าง ๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้ หยุดกังวลครับ หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

10. คิดเล็ก อย่าคิดใหญ่ ค่อย ๆ ซึมซับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นครับ

บทความโดย : Karl A. Pillemer  
ที่มา : Forward Mail

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

25 วิธีมีความสุข ไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการใช้ชีวิตให้เต็มที่

เพิ่มคำอธิบายภาพ

25 วิธีมีความสุข ไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการใช้ชีวิตให้เต็มที่
ถ้าอยากมีความสุข คุณต้องรู้จักซึมซับความรู้สึกอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือความโกรธที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งยอมรับในสิ่งที่คุณมีและสถานภาพที่คุณเป็น เพื่อจะได้มีความสุขกับชีวิตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หากคุณหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่มีความสุขทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ลำบากยากแค้นอะไร ลองอ่านข้อคิดต่อไปนี้เพื่อจะได้ระลึกว่า "เราเองก็มีชีวิตที่ดีทีเดียว"
1. คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่ป่วยหนักหรือเผชิญกับอุบัติเหตุใกล้ตาย เห็นโศกนาฏกรรมหรือสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักมักมีมุมมองชีวิตที่ต่างออกไป หลายคนบอกว่าจะไม่ปล่อยเวลาให้สายเกินไปอีกแล้ว จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้างหรือติดต่อพบปะเพื่อนฝูง เราทุกคนก็ควรตระหนักว่าอาจไม่มี "พรุ่งนี้" ก็ได้
2. จดบันทึก เขียนเล่าถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทุกวัน การจดบันทึกยังช่วยแก้ปัญหาและขจัดเรื่องไม่ดีที่รกสมองออกไปได้ด้วย ลองเริ่มเขียนตั้งแต่วันนี้ รับรองได้ผลแน่
3. มองในแง่มุมอื่นบ้าง ลองคิดว่าคุณอยากให้คนอื่นจดจำคุณในด้านใด หรือหากวันหนึ่งต้องเล่าเรื่องชีวิตตนเองให้หลานๆ ฟัง คุณจะเล่าอะไร คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกสัปดาห์และถูบ้านทุกวันหรือ แล้วที่คุณพลาดการแสดงละครของลูกที่โรงเรียนเมื่อปีที่แล้วเพราะติดประชุมเล่า ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อมองย้อนกลับไป
4.อย่าให้เรื่องเล็กน้อยกวนใจ ไม่คุ้มหรอกที่จะหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนขับรถคันข้างๆ ไม่ยอมให้คุณเบียดเข้าเลนก็ยิ้มและโบกมือให้เขาไปเลย แล้วจะหงุดหงิดไปทำไมหากพลาดรถเที่ยวเช้า หากาแฟดื่มขณะนั่งรอคันต่อไปดีกว่า
5. ทำงานยากให้เสร็จ ลงมือได้แล้วอย่าผัดวันประกันพรุ่ง โอ้เอ้ไปก็มีแต่ทำให้หนักใจเหนื่อยกาย ไหนๆ งานนี้ก็ต้องทำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็น่าจะทำให้เสร็จแทนที่จะมัวกังวลและคิดจนรกสมอง

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

เหตุที่ทำให้เกิดความสุข

เพื่อนส่งมา อ่านแล้วรู้สึกดีๆ จึงอยากให้ได้อ่านกัน

time magazine บอกว่า ที่อเมริกา มีงานวิจัยพบว่าคนที่มี
ความสุขมากที่สุดในโลก คือพระในพุทธศาสนา โดยทดสอบด้วยการ
สแกนสมองพระที่ทำสมาธิและได้ผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นจริง

+ หลักความเชื่อของศาสนาพุทธ คือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุข

นั้นก็คืออยู่กับปัจจุบันขณะ ปล่อยวางได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว What is over, is over.
ควบคุมความอยากที่ไม่มีสิ้นสุดได้

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคให้อยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข

1. จิตเรากำลังระลึกรู้อะไร
ดร.จอห์น คาบาท-ซินน์ แห่งมหาวิทยาลัยแมซซาชูเซ็ทส์สหรัฐอเมริกาบอกว่า “ปัจจุบันเท่านั้นเป็นเพียงเวลาเดียวที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ เราอาจกลุ้มใจกับอนาคต แต่ลองคิดดูสิว่า ถ้าเราไม่อยู่กับปัจจุบันให้ได้ อนาคตที่เราคิดอยู่ มันจะมีอะไรเกิดขึ้นได้อย่าไร”
เพียงเราระลึกรู้กับปัจจุบันเท่านั้น เรากำลังได้ใช้ชีวิต ได้มีความรู้สึกอยู่จริง วิธีแก้คือการฝึกสติกำหนดลมหายใจเข้าออก

2. ซาบซึ้งกับสิ่งที่มีอยู่
ลองถามตัวเองดูว่า คุณชอบงานที่ทำไหม ชอบห้องนอนตัวเองไหม รู้สึกมีชีวิตที่ดีไหม ถ้าคำตอบคือ อะไรๆก็ไม่ดีไปหมด แสดงว่าคุณรู้สึก “ฉันยังไม่พอ”
สิ่งนี้ทำให้คุณไม่สนุกกับปัจจุบัน วิธีแก้คือฝึกความโอเคให้กับตัวเอง
ลองเขียนสิ่งดีๆในชีวิตวันละ 3อย่างทุกวัน คิดแบบนี้เรื่อยๆจะทำให้อารมณ์คุณดีขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทายนิสัยจากการเก็บตังค์

ทายนิสัยจากการเก็บตังค์

ใครเลยจะเชื่อว่าการเก็บตังค์ก็สามารถจะบอกนิสัยของคนเราได้เหมือนกัน ลองนึกกันดูนะ ว่าคุณเก็บตังค์แบบไหนกันบ้าง ……

จัดเรียงอย่างดีในกระเป๋าตังค์
คนที่ชอบเก็บเงินไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยในกระเป๋าตังค์ โดยแยกเหรียญไว้ต่างหากในช่องซิป แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตัวเองเป็นอย่างมาก นอกจากจะรู้จักเก็บออมเงินแล้วยังมีความรับผิดชอบสูง สุขุมรอบคอบและรู้จักคิดก่อนตัดสินใจ แม้บางครั้งจะเผลอจู้จี้ ขี้บ่นไปบ้าง แต่เพื่อนๆ ก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวคุณนะ

ซุกไว้มุมนั้นมุมนี้
หากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบพับสตางค์ไว้ที่มุมต่างๆ ในกระเป๋า จนบางครั้งก็จำไม่ได้ว่าเก็บไว้ที่ไหนบ้าง วันดีคืนดีจึงจะเปิดไปเจอ ถ้าคุณมีนิสัยที่ว่ามานี้แหล่ะก็บอกได้เลยว่าคุณเป็นคนรักอิสระ เสรี และออกจะยึดติดกับความสะดวกสบายอยู่เหมือนกัน อาจจะไม่ค่อยมีระเบียบนัก แต่ก็ยังมีความรอบคอบอยู่บ้าง แม้บางครั้งจะเผลอช้อปอย่างเมามัน แต่คุณก็สามารถจะเก็บตังค์ได้เหมือนกันนะ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยาแอนตี้ไบโอติก-สเตียรอยด์...ยิ่งกินยิ่งป่วย

เมื่อเอ่ยถึงยาแอนตี้ไบโอติก หรือยาปฏิชีวนะ ในการรับรู้ของคนทั่วไปในปัจจุบัน เราจะนึกถึงยาฆ่าเชื้อและยาแก้อักเสบ แต่จริงๆแล้ว ยาประเภทนี้คือ ยาฆ่าเชื้อ

ยาจำพวกแอนตี้ไบโอติก หรือยาปฏิชีวนะได้รับการค้นพบโดยหลุยส์ ปลาสเตอร์-นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในทศวรรษที่ 1940 เป็นสารที่สร้างขึ้นและแยกได้จากจุลชีพชนิดหนึ่ง และออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตหรือทำลายเชื้อจุลชีพอีกกลุ่มหนึ่ง จุลชีพหรือเชื้อโรคนั้นๆ ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และเชื้อปรสิต ยาตัวแรกที่มีการนำมาใช้คือ เพนนิซิลิน โดย 150 หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาตัวยามาอีกหลายขนานด้วยกัน

เราสามารถแบ่งประเภทของยาแอนตี้ไบโอติกตามการออกฤทธิ์ของยา คือ

  • แบบฆ่าหรือทำลายเชื้อ มักมีกลไกการออกฤทธิ์ต่อผนังเซลล์ และต่อเมมเบรนของแบคทีเรีย
  • แบบยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ มักมีกลไกในการออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างโปรตีน ดังนั้นจึงต้องการระบบภูมิคุ้มกันมาเก็บเซลล์เม็ดเลือดกิน

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แพทย์แนะ 3 วิธีสร้างครอบครัวเป็นสุข

          สวัสดีครับ วันนี้ขอนำเสนอวิธีสร้างครอบครัวให้เป็นสุขมาฝากกันนะครับ พอดีได้แนวคิดดีๆจากคุณหมอทั้งสอง เลยนำมาให้ทุกๆท่านได้อ่านกัน อย่ารีรอ มาติดตามันเลยครับ

         รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้จำเป็นต้องค้นหาและสร้างโมเดลครอบครัวพอเพียง เพื่อเป็นตัวอย่างและสร้างกำลังใจให้ครอบครัวอื่นๆ ให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข

          ลักษณะของครอบครัวพอเพียง คือ
         1.ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น งดอบายมุขเหล้าบุหรี่ ทำรายรับรายจ่าย
         2.กินข้าวร่วมกันในครอบครัว อย่างน้อยวันละ 1 มื้อ เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันแลกเปลี่ยนทุกข์สุข
         3.แสวงหาความสุขเรียบง่าย เช่น เล่นกีฬา ฟังเพลง ท่องเที่ยวในประเทศด้วยกัน นอกจากดีต่อสุขภาพยังนำเงินที่เหลือมาใช้ในครอบครัวได้อย่างมีความสุข

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กุญแจแห่งความสุข

สาเหตุแห่งความทุกข์ 7 ประการ

1.ทุกข์ที่เกิดจากการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
2.ทุกข์ที่เกิดจากความเบื่อหน่ายในชีวิต ส่วนใหญ่เกิดในกลุ่มผู้มีฐานะดี สาเหตุที่เบื่อหน่ายก็เนื่องจาก ไม่มีความบันเทิงใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตมากเท่าที่ต้องการ ทำให้ชีวิตเหงาหงอย และขาดพลังชีวิต
3. ทุกข์ที่เกิดจากความเหนื่อยอ่อน คือเหนื่อยใจ มิใช่การเหนื่อยกาย ที่เหนื่อยใจ เนื่องจาก ไม่รู้จักการ แบ่งแยกว่าเรื่องใด ควรคิดในเวลาใด เช่นทำงานอยู่อย่างหนึ่ง กลับคิดถึงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทำอยู่ เป็นต้น
4.ทุกข์ที่เกิดจากการอิจฉาริษยา มักเกิดกับเด็กที่เติบโตมาโดยไม่ได้รับความรักความอบอุ่นเท่าที่ควร
5.ทุกข์ที่เกิดจากความรู้สึกว่า ตนเองทำผิดตลอดเวลา คือ คิดถึงแต่อดีตที่ผิดพลาด
6.ทุกข์ที่เกิดจากวิตกจริต คือจิตที่คิดฟุ้งซ่าน คิดเกิน คิดขาด และมองโลกไม่ตรงตามความเป็นจริง
7.ทุกข์ที่เกิดจากความกลัว กลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

คนที่มีความสุขมากที่สุดในโลกก็คือพระในทางพุทธศาสนา

The happiest persons on earth !!!(You too, can be one of them !!!)

+ หนังสือ time magazine บอกว่า ที่อเมริกาได้ มีงานวิจัยพบ ว่าคนที่มีความ สุขมากที่สุดใน โลกก็คือพระใน ทางพุทธศาสนา
โดย ทดสอบด้วยการส แกนสมองของพระ ที่ ทำสมาธิและได้ผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นจริง

+ หลัก ความเชื่อของ ศาสนาพุทธก็คือ เหตุที่ทำให้ เกิดความสุข นั้นก็คืออยู่ กับปัจจุบัน ขณะปล่อยวางได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยาก ที่ไม่มีสิ้น สุด
ไม่ ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และ ใช้หลักเวรย่อม ระงับด้วยการ ไม่จองเวร ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น มีจิตใจเมตตา กรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น

+ อริยะ สัจ 4 สิ่ง ที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบและบอก ไว้ด้วย ทุกข์ สมุทัย มรรค นิโรธ แท้จริงแล้วก็คือทางเดินไปหาคำว่า "ความ สุข"
เพราะ ถ้าเมื่อไรเรา กำจัด "ความ ทุกข์" ได้ แล้วความสุขก็ จะเกิดขึ้น ทันที

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ใจดี กายพลอยมีสุขภาพ

จิตใจที่ดี หรือภาวะจิตกุศล ไม่ว่าจะเป็นความร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส ปราโมทย์ ปีติ ที่เป็นชุดพัฒนาในตัว ก็ตาม จะเป็นเมตตา กรุณา เป็นต้น ที่เป็นชุดแผ่ออกไปนอกตัว ก็ตาม นอกจากมีความสำคัญในการพัฒนาจิตใจ เอื้อต่อการทำงานของปัญญา และช่วยให้คนอยู่ร่วมกันร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ก็ส่งผลดีต่อร่างกาย เกื้อหนุนสุขภาพกายด้วย

ไม่ว่าใครก็คงรู้ดีว่า การทำงานของจิตใจอาศัยระบบของร่างกายและภาวะจิตใจมีความสัมพันธ์ส่งผลต่อกันกับระบบของร่างกายนั้น

เมื่อคนโกรธ (มีภาวะจิตโกรธ หรือจะยังใช้คำว่ามีอารมณ์โกรธก็แล้วแต่) กล้ามเนื้อจะเครียดเขม็งเกร็ง แม้แต่กล้ามเนื้อหน้า หัวใจเต้นแรง หายใจแรงและเร็ว เกิดความเร่าร้อน ระบบการเผาผลาญทั้งหมดเร่งทำงานหนัก ฯลฯ เลือดคั่ง ลมขัด

ในระยะยาว ถ้ามักโกรธ หงุดหงิด ร่างกายจะทรุดโทรมไว แก่เร็วอาจเป็นโรคบางอย่างง่าย เช่น เป็นแผลในกระเพาะอาหาร

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

วิธีสร้างความสุขเล็กๆน้อยๆ เมื่อเครียดจากการทำงาน

ลองมาดูกันว่าในการทำงานของเราในแต่ละวันนี้ เราสามารถหาความสุขได้จากตรงไหนบ้าง ถึงแม่ว่าจะเป็นที่แสนจะเครียด แต่รับรองว่ามันจะต้องมีส่วนที่ทำให้คุณสุขอยู่บ้างไม่มาก็น้อย

- สร้างภาพฝันตามใจจินตนาการถึงเรื่องหวานๆที่นึกถึงทีไรก็เรียกรอยยิ้มได้ อันนี้เป็นภาพฝันส่วนตัวที่แล้วแต่ว่าใครจะชอบเรื่องแบบไหน ก็ใส่สีสันเข้าไป จะให้ตัวเองเป็นนางเอกมิวสิกวีดีโอ เพลงไหน ก็เลือกได้ตามใจชอบ ไม่มีใครเข้ามาทำลายความ ฝันของคุณได้อยู่แล้ว

- ไปสูดอากาศข้างนอกห้องทำงานบ้าง หรือทำทีแวะไปคุยกับแผนกอื่น ประมาณว่าขอความคิดเห็นอะไรบางอย่าง เผื่อจะทำให้สมองโลดแล่นขึ้นบ้าง อันนี้ช่วยได้เหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ความสุขเล็กๆ น้อยๆ จากการทำงาน

ความสุขเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่ถึงแม้จะจับต้องไม่ได้ แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ในความฝัน และแม้แต่ในวันทำงาน
หลายคนอาจคิดว่า ความสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อถึงวันหยุดที่ได้พักผ่อน หรือความสุขในวันลาพักร้อนที่ได้ไปเที่ยวสนุกสนาน
กับการเดินทาง ความสุขกับเพื่อนฝูง ความสุขกับครอบครัว หรือจากสิ่งที่เป็นความพึงพอใจของตัวเองที่สร้างให้เกิดความสุข

คุณคงลืมคิดไปว่า การทำงานคือเวลาส่วนใหญ่ที่เราคลุกคลีใกล้ชิดผูกพันอยู่ด้วยถึงหนึ่งในสามของชีวิต นั่นแหละคือช่วงเวลาที่ควรทำให้เกิดความสุขให้มากที่สุด มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่สามารถก่อให้เกิดความสุขได้ แม้ขณะกำลังเคร่งเครียดอยู่กับงาน

ไม่มีใครห้ามนะว่าเวลาทำงานคุณจะแอบฝันกลางวันไม่ได้ สร้างภาพฝันตามใจจินตนาการ ถึงเรื่องหวานๆ ที่นึกถึงทีไรก็เรียกรอยยิ้มได้ อันนี้เป็นภาพฝันส่วนตัวที่แล้วแต่ว่าใครจะชอบเรื่องแบบไหน ก็ใส่สีสันเข้าไป จะให้ตัวเองเป็นนางเอกมิวสิกวีดีโอ เพลงไหน ก็เลือกได้ตามใจชอบ ไม่ม่ใครเข้ามาทำลายความฝันของคุณได้อยู่แล้ว

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต

ใบไม้
ขณะนี้เรานั่งอยู่ในป่าที่สงบ ที่นี่ไม่มีลม ใบไม้จึงนิ่ง เมื่อใดที่มีลมพัด ใบไม้จึงไหวปลิว จิตก็ทำนองเดียวกับใบไม้ เมื่อสัมผัสกับอารมณ์มันก็สะเทือนไปตามธรรมชาติของจิต เรายิ่งรู้ธรรมะน้อยเพียงไร ใจก็จะรับความสะเทือนได้มากเพียงนั้น รู้สึกเป็นสุข ก็ตายด้วยความสุข รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ตายด้วยความทุกข์อีกมันจะไหลไปเรื่อย ๆ

น้ำเจือสี
ใจของเราขณะที่เป็นปกติอยู่ เปรียบเหมือนน้ำฝนเป็นน้ำที่สะอาด มีความใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นปกติ ถ้าเราเอาสีเขียวใส่ลงไป เอาสีเหลืองใส่เข้าไป น้ำก็จะกลายเป็นสีเขียว สีเหลืองไป จิตของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อไปถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจก็ดีใจก็สบาย เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจแล้ว ใจนั้นก็ขุ่นมัว ไม่สบาย เหมือนกันกับน้ำที่ถูกสีเขียวก็เขียวไป ถูกสีเหลืองก็เหลืองไป เปลี่ยนสีไปเรื่อย

อยู่กับงูเห่า
ขอให้โยมจำไว้ในใจ อารมณ์ทั้งหลายนั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่พอใจก็ตาม หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจก็ตาม อารมณ์ทั้งสองอย่างนี้มันเหมือนงูเห่าซึ่งมีพิษมาก ถ้ามันฉกคนแล้ว ก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้ อารมณ์นี้ก็เหมือนงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก มันทำให้จิตใจของเราไม่เสรี ทำให้จิตใจไขว้เขว จากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

ปล่อยพิษงูไป
อารมณ์ทั้งหลายเหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษมันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็จะปล่อยหมด สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อยไปทั้งที่มีพิษอยู่ในตัวมันนั่นเอง

สอนเด็ก
ฉะนั้น การปฏิบัตินี้จึงว่านั่ง นั่นแหละปฏิบัตินั่ง ดูไปมันมีอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว สลับซับซ้อนกันไปเป็นธรรมดาของมัน อย่าไปสรรเสริญจิตของเราอย่างเดียว อย่าไปให้โทษมันอย่างเดียว ให้รู้จักกาล รู้จักเวลามัน เมื่อถึงคราวสรรเสริญ ก็สรรเสริญมันหน่อย สรรเสริญให้พอดีอย่าให้หลง เหมือนกับสอนเด็กนั่นแหละ บางทีก็เฆี่ยนมันบ้าง เอาไม้เรียวเล็ก ๆ เฆี่ยนมัน ไม่เฆี่ยนไม่ได้ อันนี้บางทีก็ให้โทษมันบ้าง อย่าให้โทษมันเรื่อยไป ให้โทษมันเรื่อยไปมันก็ออกจากทางเท่านั้นแหละ ถ้าให้สุขมันให้คุณมันเรื่อย ๆ มันไปไม่ได้

เด็กซุกซน
เปรียบกับเด็กที่ซุกซน เล่นสนุก ทำให้รำคาญจนเราต้องดุเอา ตีเอา แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กก็เป็นอย่างนี้เอง พอรู้อย่างนี้ เราก็ปล่อยให้เด็กเล่นไปตามเรื่องของเขา ความเดือดร้อน รำคาญของเราก็หมดไป เพราะเรายอมรับธรรมชาติของเด็ก ความรู้สึกของเราจึงเปลี่ยนไป เรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวางได้ จิตของเราก็มีความสงบเยือกเย็น นี่เรามีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว เป็นสัมมาทิฏฐิ ทีนี้ก็หมดปัญหาที่จะต้องแก้

รับแขก
เรามาทำจิตของเราให้เป็นผู้รู้ตื่นอยู่ คอยรักษาจิตของเราอยู่ ถ้าแขกมาเมื่อไรโบกมือห้าม มันจะมานั่งที่ไหน มีที่นั่งเดียวเท่านั้น เราก็พยายามรับแขกอยู่ตรงนี้ตลอดวัน นี่คือพุทโธ ตัวตั้งมั่นอยู่ที่นี่ ทำความรู้นี้ไว้ จะได้รักษาจิต เรานั่งอยู่ตรงนี้ แขกที่เคยมาเยี่ยมเราตั้งแต่เราเกิดตัวเล็ก ๆ โน้น มาทีไรก็มาที่นี่หมด เราจึงรู้จักมันหมดเลย พุทโธอยู่คนเดียว พูดถึงอาคันตุกะ แขกที่จรมาปรุงแต่งต่าง ๆ นานา เราให้เป็นไปตามเรื่องของมัน อาการของจิตที่เป็นไปตามเรื่องของมันนี่แหละเรียกว่า เจตสิก มันจะเป็นอะไร จะไปไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้จักอาคันตุกะที่มาพัก ที่รับแขกมีเก้าอี้ตัวเดียวเท่านี้เองเราเอาผู้หนึ่งไปนั่งไว้แล้ว มันก็ไม่มีที่นั่งมันมาที่นี่ มันก็จะมาพูดกับเรา ครั้งนี้ไม่ได้นั่ง ครั้งต่อไปก็จะมาอีก มาเมื่อไรก็พบผู้ที่นั่งอยู่ ไม่หนีสักที มันจะทนมากี่ครั้ง เพียงพูดกันอยู่ที่นั่น เราก็จะรู้จักหมดทุกคน พวกที่ตั้งแต่เรารู้เดียงสาโน้น มันจะมาเยี่ยมเราหมดนั่นแหละ

บุรุษจับเหี้ย
วิธีกำหนดอารมณ์ จับอารมณ์ ให้รู้จักจิตของตนให้รู้จักอารมณ์ของตน เปรียบโดยวิธีที่บุรุษทั้งหลายจับเหี้ย เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปในโพรงจอมปลวกที่มีรูอยู่หกรู ก็ปิดรู้นั้นๆเสียห้ารู เหลือรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วนั่งจ้องมองที่รูเดียวนั้น เหี้ยออกมาก็จับได้ ฉันใด การกำหนดจิตก็ฉันนั้น ปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดลิ้น ปิดกาย เหลือแต่จิตอันเดียวเปิดไว้ คือ การสำรวมสังวร กำหนดจิตอย่างเดียว
การภาวนาก็เหมือนกับบุรุษจับเหี้ย คือกำหนดจิตให้อยู่ที่ลมหายใจ มีสติ ระมัดระวังรู้อยู่แล้ว กำลังทำอะไร มีสัมปชัญญะ คือ รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตขณะนั้น คือรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตขณะนั้น ทำให้รู้จัก

แมงมุม
ได้ไปเห็นแมงมุมเป็นตัวอย่าง แมงมุมทำรังของมันเหมือนข่าย มันสายข่ายไปขึงไว้ตามช่องต่าง ๆ เราไปนั่งพิจารณาดูมัน ทำข่ายขึงไว้เหมือนจอหนัง เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวเองเงียบอยู่ตรงกลางข่าย ไม่วิ่งไปไหน พอมีแมลงวันหรือแมลงอื่นบินผ่านข่ายของมัน พอถูกข่ายเท่านั้น ข่ายก็สะเทือน พอข่ายสะเทือนปุ๊บ มันก็วิ่งออกจากรังทันที ไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวของมันไว้ที่กลางข่ายเหมือนเดิม ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่ายของมัน พอข่ายสะเทือน มันก็วิ่งออกมาจับแมลงนั้น แล้วก็กลับไปเกาะนิ่งอยู่ที่กลางข่ายไม่ให้ใครเห็นทุกทีไป เห็นแมงมุมทำอย่างนี้ เราก็มีปัญญาแล้ว อายตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใจนี้อยู่ตรงกลาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แผ่พังพานออกไป อารมณ์นั้นเหมือนแมลงต่าง ๆ พอรูปมาก็ถึงตา เสียงมาก็ถึงหู กลิ่นมาก็ถึงจมูก รสมาก็ถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็ถึงกาย ใจเป็นผู้รู้จัก มันก็สะเทือนถึงใจ แค่นี้ก็เกิดปัญญาแล้ว
เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้ เหมือนแมงมุมที่เก็บตัวไว้ในข่ายของมัน ไม่ต้องไปไหน พอแมลงต่าง ๆ มันผ่านข่าย ก็ทำให้สะเทือนถึงตัว
รู้สึกได้ก็ออกไปจับแมลงไว้ แล้วก็กลับอยู่ที่เดิม ดูแมงมุมแล้วก็น้อมเข้ามาหาจิตของเรา มันก็เหมือนกันเท่านั้น ถ้าจิตเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันกว้าง ไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์อีกแล้ว ก็เห็นชัดได้อย่างนี้ มันก็ได้ความเท่านั้นแหละ จะทำอะไรอยู่ก็สบาย ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วมีแต่การภาวนาจะเจริญยิ่งขึ้นเท่านั้น

คลื่นกระทบฝั่ง
เรื่องทุกข์เรื่องไม่สบายใจนี่มันก็ไม่แน่หรอกนะ มันเป็นของไม่เที่ยง เราจับจุดนี้ไว้ เมื่ออาการเหล่านี้มันเกิดขึ้นมา เรารู้มันเดี๋ยวนี้ เราวาง
กำลังอันนี้จะค่อย ๆ เห็นทีละน้อย ๆ เมื่อมันกล้าขึ้น มันข่มกิเลสได้เร็วที่สุด ต่อไปมันเกิดตรงนี้ มันดับตรงนี้ เหมือนกับน้ำทะเลที่กระทบฝั่ง เมื่อขึ้นมาถึงฝั่งมันก็ละลายเท่านั้น คลื่นใหม่มาอีก มันก็ละลายต่อไปอีก มันจะเลยฝั่งไปไม่ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ฝั่งทะเลอารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามามันก็เท่านั้นแหละ

เลื่อย
แต่เมื่อมันรู้เห็นหมดแล้ว ธรรมะก็ไม่ได้แบกเอาไปด้วยอย่างเลื่อยคันนี้ เขาจะเอาไปตัดไม้ เมื่อเขาตัดไม้หมดแล้ว อะไรก็หมดแล้ว เลื่อยก็เอาวางไว้เลย ไม่ต้องไปใช้อีก เลื่อยก็คือธรรมะ ธรรมะต้องเอาไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผล ถ้าหากว่ามันเสร็จแล้ว ธรรมะที่อยู่ก็วางไว้ เหมือนเลื่อยที่เขาตัดไม้ ท่อนนี้ก็ตัด ท่อนนี้ก็ตัด ตัดเสร็จแล้วก็วางไว้ที่นี่ อย่างนั้น เลื่อยก็ต้องเป็นเลื่อย ไม้ก็ต้องเป็นไม้ นี่เรียกว่าถึงหยุดแล้ว ถึงจุดของมันที่สำคัญแล้ว สิ้นการตัดไม้ ไม่ต้องตัดไม้ ตัดพอแล้ว เอาเลื่อยวางไว้

ดาวน์โหลดไฟล์ เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต

แหล่งข้อมูล
ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย
คัดลอกจาก: เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต
รวบรวมคำอุปมาของ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร)
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 010312 - โดย คุณ : mayrin [ 10 พ.ย. 2546 ]

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความสุขที่แท้จริง (2)

ความสุขที่แท้จริง

ผมเคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งนานมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า อาจารย์ท่านหนึ่งลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง แล้วบอกให้นักเรียนลองทำให้เส้นตรงเส้นนี้สั้นลงโดยไม่ต้องลบ นักเรียนต่างหาวิธีทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไม่ได้เพราะทุกคนติดอยู่กับภาพลักษณ์ของการลบเส้นเดิมทิ้งไปเพื่อให้เส้นเดิมสั้นลงไป อาจารย์ท่านนั้นจึงขอให้นักเรียนรายหนึ่งเขียนเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเส้นเดิม ภายหลังจากที่นักเรียนลากเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเดิมแล้ว อาจารย์ท่านนั้นอธิบายให้นักเรียนฟังว่า

"การที่มีคนลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง ไม่ว่าเส้นตรงที่ลากมาจะยาวแค่ไหน เราสามารถทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไปได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง แต่เราสามารถทำให้เส้นของคนอื่นสั้นลงโดยที่เราลากเส้นของเราให้ยาวขึ้น ยิ่งเราลากเส้นยาวออกไปมากเท่าไหร่เส้นเดิมที่ลากไว้ก็จะสั้นลงไปทุกที เปรียบเหมือนการที่ใครซักคนทำในสิ่งหนึ่งที่ดีอยู่ประสบความสำเร็จอยู่ เราไม่ควรให้ความอิจฉาริษามาก่อให้จิตของเรารุ่มร้อนและหาทางกลั่นแกล้งคนๆนั้นด้วยการหาทางทำลาย เหมือนกับการพยายามลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง ตรงกันข้ามควรจะยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น เหมือนกับที่เรามองความยาวของเส้นตรงที่คนอื่นลากไว้ แต่เราหาทางพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับการพยายามลากเส้นตรงเส้นใหม่ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ไปลบเส้นของคนอื่น เส้นตรงที่เราลากก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ โดยเส้นเดิมที่เราลากไว้ก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบออกให้สั้นลง"

การคิดในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้ทำให้จิตใจของเราโปร่งสบาย ไม่รุ่มร้อน เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้แข่งกับใครแต่เราแข่งกับตัวของเราเองอยู่ตลอดเวลาและเราไม่ได้ไปสร้างศัตรูหรือไปก่อเวรกับคนอื่น ตรงกันข้ามการแข่งขันระหว่างกันเป็นไปในทางเกื้อกูลกันทำให้ระบบโดยรวมมีการเติบโตอยู่ตลอดเวลาไปในทางที่เป็นบวก คงไม่สำคัญว่าคุณต้องชนะคนทั้งหมด สิ่งสำคัญคงอยู่ที่คุณพยายามชนะตัวของคุณเองอยู่ตลอดเวลาต่างหาก เพียงแต่เมื่อใดคุณสามารถชนะตัวของคุณเองได้ ชัยชนะที่ได้ก็จะมีความหมายและทำให้คุณเกิดความภูมิใจ และถ้าคุณยังไม่หยุดพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะชนะตัวคุณไปเรื่อยๆ เมื่อคุณมองย้อนกลับมาเมื่อไหร่คุณก็จะมีแต่ความภูมิใจในชัยชนะที่ขาวสะอาด ชัยชนะที่เป็นแรงขับดันให้คุณพยายามพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

การประสพความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคนมีอยู่หลายวิธี บางครั้งผู้คนต่างพยายามเลียนแบบเส้นทางประสพความสำเร็จของผู้อื่น แต่เมื่อเดินตามเส้นทางนั้นกลับพบว่าไม่ประสพความสำเร็จนัก ความสำเร็จในชีวิตของผู้คนคงไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบอย่างเดียวกันเสมอไป และเส้นทางไปสู่ความสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นทางเดียวกันเสมอไป สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ความสุขใจที่ได้เลือกเส้นทางที่เหมาะกับตนเองมากที่สุดมากกว่า

จงอย่าพยายามเลียนแบบเส้นทางไปสู่ความสุขของผู้อื่น เพราะนิยามความสุขของผู้คนต่างกัน ความสุขที่เราเห็นผู้คนอื่นมีความสุขกันอยู่ ถ้าเราไปอยู่ในสถานะนั้นเราอาจจะไม่มีความสุขอย่างที่เราเข้าใจก็ได้ สุขและทุกข์แท้จริงอยู่ที่ใจของเรากำหนดต่างหาก ลองมองทุกอย่าง อย่างเป็นกลางๆ ไม่เอาความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อคติ มาครอบงำ แล้ววันหนึ่งเราอาจจะค้นพบความหมายของคำว่าความสุขที่แท้จริงของตัวเราเอง

ที่มา: คุณชาคโร