วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Health Tips - interesting‏

พอดีว่า ได้รับข้อความที่ดี มีประโยชน์ก็เลยฝากมาบอกให้เพื่อน ๆ

1) Answer the phone by LEFT ear ฟังโทรศัพท์โดยใช้หูซ้าย

2) Do not drink coffee TWICE a day อย่าดื่มกาแฟถึง 2 ครั้งต่อวัน

3) Do not take pills with COOL water อย่ากินยาพร้อมกับน้ำเย็น (ใส่น้ำแข็ง)

4) Do not have HUGE meals after 5pm. อย่ากินอาหารมื้อใหญ่ หลังจาก 5 โมงเย็นไปแล้ว

5) Reduce the amount of OILY food you consume ลดปริมาณอาหารประเภทไขมัน ลงจากที่เคยกินซะบ้าง

6) Drink more WATER in the morning, less at night ดื่มน้ำให้มากในตอนเช้า และลดน้อยลงในตอนกลางคืน

7) Keep your distance from hand phone CHARGERS อยู่ห่าง ๆ จากการชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือ

8) Do not use headphones/earphone for LONG period of time อย่าใช้อุปกรณ์หูฟังเป็นเวลายาวนาน

9) Best sleeping time is from 10pm at night to 6am in the morning เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนอนพักผ่อน คือ 22.00-06.00 น.

10) Do not lie down immediately after taking medicine before sleeping อย่าล้มตัวนอนทันทีหลังจากกินยาก่อนนอน

11) When battery is down to the LAST grid/bar, do not answer the phone as the radiation is 1000 times.
เมื่อโทรศัพท์เหลือแบตเตอรี่ถึงขีดสุดท้าย, พยายามอย่าใช้เพราะมันจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถึง 1000 เท่าตัว

12) Forward this to those whom you CARE about! ส่งต่อข้อความนี้ให้กับคนที่คุณห่วงใย

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บทความดีๆ สำหรับคนมีทุกข์

คุณเคยรู้สึกไหม ว่าชีวิตช่างลำบาก
คุณไม่อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างที่เป็นอยู่
คุณรู้สึกว่า ชีวิตนั้นเป็นทุกข์

อาชีพการงานไม่ได้ดั่งใจ อะไร ๆ ก็ผิดพลาดไปหมด?

เรื่องราวต่อไปนี้ อาจจะเปลี่ยนแปลง ทัศนคติที่คุณมีต่อชีวิตคุณได้

ผมสนทนากับเพื่อนคนหนึ่ง ถึงแม้ว่า เขาจะทำงานสองอย่าง
รายได้แต่ละเดือนหักลบรายจ่ายแล้วยังเหลือแค่พันกว่า
แต่เขาก็มีความสุขมากแล้ว
ผมแปลกใจมากที่เขามีความสุขขนาดนั้น
เพราะเขามีรายได้น้อย
ต้องประหยัดมัธยัสถ์จึงจะพอมีเหลือเลี้ยงดูคุณพ่อคุณ แม่สูงอายุ
พ่อตาแม่ยาย ภรรยาและลูกสาวอีกสองคน
ไหนจะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

จุกจิกภายในครอบครัว

เขาอธิบายให้ฟังว่า
เป็นเพราะหลายปีก่อนเขาได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ประเทศอินเดีย
ขณะนั้นเขา ประสบปัญหาที่สาหัสมาก
สภาพจิตใจตกต่ำจึงไปเที่ยวอินเดียเพื่อให้สบายใจขึ้น
เขาได้เห็นกับตา ผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่ง
ถือมีดอีโต้ตัดแขนขวาของลูกตัวเอง
สายตาที่หมดหวังของผู้หญิงคนนั้น
และเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของเด็กอายุสี่ขวบ
จนบัดนี้ยังวนเวียนอยู่ในใจเขามิรู้ลืม

คุณอาจจะถามว่า
ทำไมแม่คนนั้นจึงต้องทำเช่นนี้ ?
เป็นเพราะลูกของเธอซุกซนเกินไปหรือเปล่า ?
หรือเป็นเพราะแขนของเด็กติดเชื้อ ? ไม่ใช่
ที่แท้ทำไปเพื่อให้เด็กสามารถไปขอทานตามถนน
แม่ผู้สิ้นหวังคนนั้นจงใจทำให้
ลูกตัวเองพิการ เพื่อเขาสามารถออกขอทานตามท้องถนนได้

เพื่อนของผมคนนี้ตกใจแทบช๊อก
ขนมปังในมือของเขาที่เพิ่งกินได้ครึ่งก้อนตกหล่นลงพื ้น
ทันทีทันใดก็มีเด็กๆ ห้าหกคนกรูกันเข้ามา
แย่งชิงขนมปังที่เลอะทรายบนพื้น
เหมือนกับปฏิกิริยาอัตโนมัติเวลาผจญกับความหิวโหย
เขาตกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว
ไกด์ของเขาขับรถพาเขาไปยังร้านขนมปังที่ใกล้ที่สุด
เขาเข้าไปในสองร้านของละแวกนั้น ขอซื้อขนมปังทั้งหมดในร้าน
เจ้าของร้านขนมปังแปลกใจมาก แต่ก็ยินดีขายขนมปังทั้งหมดให้เขา
เขาใช้เงินทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งร้อยเหรียญ
ซื้อขนมปังมาประมาณสี่ร้อยกว่าก้อน
(ตกก้อนละไม่ถึง 25 เซน)
แล้วใช้อีกหนึ่งร้อยเหรียญซื้อของใช้ประจำวัน

และแล้ว เขาก็นั่งบนรถบรรทุกที่บรรทุกขนมปังไว้เต็มคันรถ
ขับไปบนถนน ขณะที่เขาแจกจ่ายขนมปังและของใช้ประจำวันให้กับเด็ก ๆ
ซึ่งพิการเป็นส่วนใหญ่นั้น
พวกเขาล้วนโค้งคำนับให้ด้วยความดีใจ นั่นเอง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาคิดได้ว่า

ทำไมคนเราจึงสามารถละทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองเพียงเพื่ อชิ้นขนมปัง
ราคาไม่ถึง 25เซน
เขาเริ่มบอกตนเองว่าตนเองนั้นโชคดีแค่ไหน
เขามีร่างกายครบสามสิบสอง
มีอาชีพการงาน มีครอบครัว
มีโอกาสบ่นว่าอาหารชิ้นไหนดี อาหารชิ้นไหนไม่อร่อย
มีโอกาสสวมใส่เสื้อผ้า
มีโอกาสครอบครองสิ่งของมากมายที่คนเหล่านี้ไม่มี

ตอนนี้ ผมเริ่มคิดได้และตระหนักได้ว่า
ชีวิตของผมมันย่ำแย่จริงหรือ ?
บางทีมันอาจไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นก็ได้ คุณละ ?
บางทีเมื่อครั้งหน้าคุณรู้สึกว่า ชีวิตของตนกำลังย่ำแย่
ลองคิดถึงเด็กคนที่ต้องเสียแขนเพื่อเป็น ขอทานคนนั้นดูสิ !

“ความรู้สึกพอ”
ไม่ใช่มาจากการเติมเต็มสิ่งที่คุณต้องการ
แต่มาจากการตระหนักว่า คุณมีมากมายและเพียงพอ
เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูอีกบานหนึ่งก็จะเปิดออก
แต่บ่อยครั้งเรามัวแต่จ้องบานประตูที่ปิดลงเท่านั้น
ไม่ได้สังเกตเห็นประตูอีกบานหนึ่งที่เปิดออกเพื่อเรา
จริงอยู่ พวกเรามักจะรู้ว่าตนเองมี
ก็ต่อเมื่อเราสูญเสียมัน
แต่พวกเราก็ต้องคอยจนกว่าของสิ่งนั้นมาถึง
จึงจะรู้ตัวว่า เราไม่มีมัน
การมอบความรักทั้งหมดให้กับผู้อื่น
มิได้หมายความว่า เราจะได้รับความรักตอบกลับมาอย่างเท่าเทียมกัน
อย่าหวังว่า รักผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะรักตอบ
จงสนใจแค่ให้ความรักนั้น เติบโตขึ้นในใจพวกเขา
แต่ถ้าไม่เติบโตขึ้นเลยก็จงพอใจกับความรักที่เติบโตข ึ้นในใจของคุณเอง

หนึ่งนาทีจึงจะทำลายคน ๆ หนึ่งได้
หนึ่งชั่วโมงจึงจะชอบคน ๆ หนึ่งได้
หนึ่งวันจึงจะรักคนๆ หนึ่งได้
แต่ต้องใช้เวลาตลอดชั่วชีวิต
จึงจะลืมคน ๆ หนึ่งได้

จงอย่ามองเพียงรูปภายนอก เพราะสักวันมันจะหลอกคุณ
จงอย่ามองแค่ความร่ำรวย ทรัพย์สมบัติ เพราะสักวันมันจะซีดจางลง
หาใครสักคนที่ยิ้มให้คุณ เพราะเมื่อมีรอยยิ้ม
จะทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น
หาใครสักคนที่ทำให้คุณอมยิ้มได้จากใจจริง
บางครั้งเมื่อคุณคิดถึงใครสักคน
ความคิดถึงนั้นอาจถึงขั้นให้คุณคว้าตัวเขาออกมาจากความฝัน
โอบกอดตัวเขาเอาไว้ ไล่ตามความฝันของคุณเอง
ไปยังที่ ๆ คุณอยากไป
เป็นอย่างคนที่คุณอยากเป็น
เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว
ซึ่งหมายถึง...มีเพียงโอกาสเดียวในการทำสิ่งที่คุณอยากทำ

แปลจากบทความของ "โหว เหวินหย่ง" เจ้าของผลงาน เกิดมาซน ทั้งสองเล่ม

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ปัญหาหนักอกเพียงใด....มีสติ...มีทางออก

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ก็มีเรื่องราวดีๆมาฝากอีกแล้วนะครับ ก็ต้องขอขอบคุณต้นสายของ forward mail
แล้วก็ปลายสายที่ส่งมาให้ ทำให้ผมได้รู้ว่ายามมีปัญหา ย่อมมีทางออกเสมอ ถ้ามีสติ ...
ข้อความในเมล์ ก็มีอยู่ว่า ...

ปัญหาหนักอกเพียงใด....มีสติ...มีทางออก

เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง
เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไป ที่สวนในคฤหาสน์ของเขา
เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่ มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว

เศรษฐีบอกชาวนาว่า "ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง
แต่หากท่านยกลูกสาวให้ ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้"

ชาวนาไม่ตกลง

เศรษฐีบอกว่า "ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม
ข้าจะหยิบกรวดสองก้อน ขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว

ให้ลูกสาวของท่านหยิบ ก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว
ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า
แต่หากนางหยิบได้ก้อนสี ดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ ท่านด้วย"

ชาวนาตกลง

เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อน ใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อน นั้นเป็นสีดำ

เธอจะทำอย่างไร?
หากเธอไม่เปิดโปงความ จริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง
หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้
แต่บิดาของเธอก็จะยังคง เป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน

เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้ มองปัญหาแบบขาวกับดำ
แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถ แก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป
ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่า หนึ่งสายเสมอ
และการยืดหยุ่นพลิกแพลง ไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง

ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลง ไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน
พลันเธอปล่อยกรวดในมือ ร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด

เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า "ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น
แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้

ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุง ออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า
กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อ ครู่เป็นสีอะไร"

ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ

"...ดังนั้นกรวดก้อน ที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว"

ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้และ ลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ ว่า "หากเราพยายามมากพอที่จะแก้ไขปัญหา
เราจะพบว่าทุกปัญหาย่อม มีวิถีทางแก้ไขเสมอ"

ขอขอบคุณ ต้นสาย forward mail นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อานิสงส์แห่งทาน

เรื่อง อานิสงส์แห่งทาน

๑. อานิสงส์ของการถวายร่ม
ข้าพเจ้าได้ถวายร่มในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๘ ประการ คือ ข้าพเจ้า

๑. ไม่รู้สึกหนาว ๒. ไม่รู้สึกร้อน
๓. ละอองและธุลี ไม่แปดเปื้อน ๔. เป็นผู้ไม่มีอันตราย
๕. ไม่มีเสนียดจัญไร ๖. ชนทั้งหลายยำเกรงทุกเมื่อ
๗. เป็นผู้มีผิวพรรณละเอียด ๘. เป็นผู้มีใจใสสะอาด

เมื่อข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ ฉัตร ๑๐๐,๐๐๐ คัน ซึ่งประกอบด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง กั้นอยู่เหนือศีรษะของข้าพเจ้า ยกเว้นชาตินี้ เพราะอานุภาพแห่งกรรมนั้น เพราะฉะนั้น ในชาตินี้ การกั้นฉัตร จึงไม่มีแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากระทำกรรมทุกอย่าง ก็เพื่อบรรลุฉัตรคือวิมุตติ

๒. อานิสงส์ของการถวายผ้า
ข้าพเจ้าได้ถวายผ้าในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๘ ประการ คือ ข้าพเจ้า

๑. เป็นผู้มีผิวพรรณดังทอง
๒. ปราศจากไฝฝ้า
๓. มีรัศมีผ่องใส
๔. มีตบะ
๕. มีร่างกายมีผิวเกลี้ยงเกลา
๖. มีผ้าสีขาว ๑๐๐,๐๐๐ ผืน
๗. มีผ้าสีเหลือง ๑๐๐,๐๐๐ ผืน
๘. มีผ้าสีแดง ๑๐๐,๐๐๐ ผืน

เมื่อข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ และมีผ้ากั้นอยู่เหนือศีรษะของข้าพเจ้า นี้เป็นผลแห่งการถวายผ้า

๓. อานิสงส์ของการถวายบาตร
ข้าพเจ้าได้ถวายบาตรในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๑๐ ประการ คือ ข้าพเจ้า

๑. บริโภคโภชนาหารในภาชนะทองคำ ภาชนะแก้วมณี ภาชนะเงิน และภาชนะที่ทำด้วยทับทิมทุกครั้ง
๒. เป็นผู้ไม่มีอันตราย
๓. ไม่มีเสนียดจัญไร
๔. ชนทั้งหลายยำเกรงทุกเมื่อ
๕. ได้ข้าว น้ำ ผ้า และที่นอนเป็นปกติ
๖. มีโภคสมบัติไม่พินาศ
๗. เป็นผู้มีจิตมั่นคง
๘. เป็นผู้ใคร่ธรรมทุกเมื่อ
๙. เป็นผู้มีกิเลสน้อย
๑๐. ไม่มีอาสวะ

คุณเหล่านี้ ติดตามข้าพเจ้าไปทั้งในเทวโลกและมนุษย์โลก ไม่ละข้าพเจ้าในที่ทุกแห่ง เปรียบเหมือนเงาต้นไม้

๔. อานิสงส์ของการถวายมีด
ข้าพเจ้าได้ถวายมีดเล็กที่ทำอย่างสวยงาม เนื่องด้วยเครื่องผูกอย่างวิจิตรจำนวนมาก แก่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดและแก่สงฆ์ ได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๘ ประการ คือ ข้าพเจ้า

๑. เป็นผู้กล้า
๒. เป็นผู้ไม่มีความเดือดร้อน
๓. ถึงความสำเร็จในเวสารัชชธรรม
๔. เป็นผู้มีปัญญาเครื่องทรงจำ
๕. มีความเพียร
๖. ประคองใจไว้ได้ทุกเมื่อ
๗. ได้ญาณอันสุขุมเป็นเครื่องตัดกิเลส
๘. ได้ความบริสุทธิ์ไม่มีอะไรเทียมเท่าในที่ทั้งปวง

เพราะผลกรรมของข้าพเจ้านั้น

๕. อานิสงส์ของการถวายมีดเล็ก
ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใสได้ถวายมีดเล็กอันราบเรียบ ไม่หยาบขัดถูกดีแล้ว จำนวนมากในพระพุทธเจ้าและในพระสงฆ์แล้ว ได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า

๑. เป็นผู้ได้กัลยาณมิตร
๒. มีความเพียร
๓. มีขันติ
๔. ได้ศัสตราคือไมตรี
๕. เพราะตัดลูกศรคือตัณหา จึงได้ศัสตราคือปัญญาอันยอดเยี่ยม และญาณที่เสมอด้วยเพชร เพราะผลแห่งกรรมเหล่านั้น

๖. อานิสงส์ของการถวายเข็ม
ข้าพเจ้าได้ถวายเข็มในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เมื่อเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยและใหญ่ เป็นผู้ที่มหาชนนอบน้อม
๒. เป็นผู้ตัดความสงสัยได้
๓. มีรูปร่างงดงาม
๔. มีโภคสมบัติ
๕. มีปัญญาฉลาด หลักแหลม ทุกเมื่อ

ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นอรรถ ซึ่งเป็นฐานะละเอียด ลึกซึ้งด้วยญาณของข้าพเจ้า ญาณของข้าพเจ้า เสมอด้วยยอดเพชรเป็นเครื่องกัดความมืด

๗. อานิสงส์ของการถวายมีดตัดเล็บ
ข้าพเจ้าได้ถวายมีดตัดเล็บในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า

๑. เป็นผู้ได้ทาสชายหญิง
๒. เป็นผู้ได้โคและม้า
๓. เป็นผู้ได้ลูกจ้างที่เป็นนางฟ้อนรำ
๔. เป็นได้ช่างตัดผม
๕. เป็นผู้ได้พ่อครัวผู้ทำอาหารจำนวนมากในที่ทั้งปวง

๘. อานิสงส์ของการถวายพัดใบตาล
ข้าพเจ้าได้ถวายพัดใบตาลในพระสุคต แล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๘ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. ไม่รู้สึกหนาวร้อน
๒. ไม่มีความเร่าร้อน
๓. ไม่มีจิตรู้สึกกระวนกระวาย
๔. เป็นผู้ดับไฟคือราคะได้
๕. เป็นผู้ดับไฟคือโทสะได้
๖. เป็นผู้ดับไฟคือโมหะได้
๗. เป็นผู้ดับไฟคือมานะได้
๘. เป ็นผู้ดับไฟคือทิฏฐิได้
เพราะผลกรรมของข้าพเจ้านั้น

๙. อานิสงส์ของการถวายพัดขนปีกนกยูงและแส้จามร
ข้าพเจ้าได้ถวายพัดขนปีกนกยูงและแส้จามรในหมู่สงฆ์ และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุด เป็นผู้มีกิเลสสงบระงับ แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน

๑๐. อานิสงส์ของการถวายผ้ากรองน้ำคือธมกรก
ข้าพเจ้าได้ถวายกรองน้ำ คือธมกรกในพระสุคต แล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ล่วงพ้นอันตรายทั้งปวงได้
๒. เป็นผู้ได้อายุทิพย์
๓. โจรหรือข้าศึกข่มไม่ได้ทุกเมื่อ
๔. ศัสตรา หรือยาพิษไม่เบียดเบียนข้าพเจ้า
๕. ไม่มีความตายในระหว่าง คือไม่ตายก่อนอายุขัย
เพราะผลแห่งกรรมเหล่านั้นของข้าพเจ้า

๑๑. อานิสงส์ของการถวายภาชนะน้ำมัน
ข้าพเจ้าได้ถวายภาชนะน้ำมันในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีรูปร่างงดงาม ๒. เป็นผู้มีความเจริญดี
๓. เป็นผู้มีเบิกบานดี ๔. เป็นผู้มีใจไม่ฟุ้งซ่าน
๕. เป็นผู้ได้รับการคุ้มครองโดยการอารักขาทั้งปวง

๑๒. อานิสงส์ของการถวายกล่องเข็ม
ข้าพเจ้าได้ถวายกล่องเข็มในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๓ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ได้ความสุขใจ ๒. เป็นผู้ได้ความสุขกาย
๓. เป็นผู้ได้ความสุขเกิดแต่อิริยาบถ
เพราะผลกรรมของข้าพเจ้านั้น

๑๓. อานิสงส์ของการถวายผ้าอังสะ
ข้าพเจ้าได้ถวายผ้าอังสะในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๓ ประการ คือ
๑. ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ความมั่นคงในพระสัทธรรม
๒. ข้าพเจ้าเป็นผู้ระลึกชาติได้
๓. ข้าพเจ้าเป็นผู้มีผิวพรรณงดงามในที่ทั้งปวง
เพราะผลกรรมของข้าพเจ้านั้น

๑๔. อานิสงส์ของการถวายประคตเอว
ข้าพเจ้าได้ถวายประคตเอวในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๖ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในสมาธิ คือมีสมาธิแน่วแน่
๒. เป็นผู้ชำนาญในสมาธิ
๓. เป็นผู้มีบริวารไม่แตกแยกกัน
๔. มีถ้อยคำที่เชื่อถือได้ทุกเมื่อ
๕. มีสติตั้งมั่น
๖. ไม่มีความสะดุ้งกลัว
คุณเหล่านี้ติดตามข้าพเจ้าไปทั้งในเทวโลก และมนุษย์โลก

๑๕. อานิสงส์ของการถวายเชิงรองบาตร
ข้าพเจ้าได้ถวายเชิงรองบาตรในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุด เป็นผู้ไม่มีภัยในเพราะวรรณะ ๕ และไม่หวั่นไหวด้วยอะไร ๆ ธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีสติและญาณเป็นเครื่องตรัสรู้ ข้าพเจ้าฟังแล้ว ธรรมที่ข้าพเจ้าทรงจำไว้ ย่อมไม่คลาดเคลื่อนเป็นอันวินิจฉัยดีแล้ว

๑๖. อานิสงส์ของการถวายภาชนะ
ข้าพเจ้าได้ถวายภาชนะสำหรับใส่ของบริโภคในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๓ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ได้ทองคำ ภาชนะแก้วมณี ภาชนะแก้วผลึก และภาชนะแก้วทับทิม
๒. เป็นผู้ได้ภริยา ได้ทาสชายหญิง พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า และหญิงผู้เคารพนาย
๓. เป็นผู้ได้เครื่องบริโภคทุกเวลา
วิชาในบทมนตร์ ในอาคมต่าง ๆ จำนวนมาก และศิลปะทั้งปวง ข้าพเจ้าย่อมใคร่ครวญให้เป็นที่ใช้สอยได้ทุกเวลา

๑๗. อานิสงส์ของการถวายขัน
ข้าพเจ้าได้ถวายขันในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๓ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ได้ขันทองคำ ขันแก้วมณี ขันแก้วผลึก และขันแก้วทับทิม
๒. เป็นผู้ได้ขันรูปต้นโพธิ์ รูปผลไม้ รูปใบบัว และสังข์สำหรับดื่มน้ำผึ้ง
๓. เป็นผู้ได้ข้อปฏิบัติในวัตรอันงาม ในอาจาระและกิริยา
ข้าพเจ้าได้คุณเหล่านี้ เพราะผลแห่งกรรมนั้น

๑๘. อานิสงส์ของการถวายเภสัช
ข้าพเจ้าได้ถวายเภสัชในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๑๐ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีอายุยืน ๒. เป็นผู้มีกำลัง
๓. เป็นนักปราชญ์ ๔. เป็นผู้มีวรรณะ
๕. เป็นผู้มียศ ๖. เป็นผู้มีสุข
๗. เป็นผู้ไม่มีอันตราย ๘. เป็นผู้ไม่มีเสนียดจัญไร
๙. ชนทั้งหลายยำเกรงทุกเมื่อ
๑๐. เป็นผู้ไม่มีความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก
เพราะผลแห่งกรรมของข้าพเจ้านั้น

๑๙. อานิสงส์ของการถวายรองเท้า
ข้าพเจ้าได้ถวายรองเท้าในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอา นิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๓ ประการ คือ
๑. ยานคือช้าง ยานคือม้า ยานคือวอ และคานหามแวดล้อมข้าพเจ้าทุกเมื่อ
๒. เมื่อข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ รองเท้าแก้วมณี รองเท้าทองแดง รองเท้าทองคำ รองเท้าเงิน ผุดขึ้นรองรับทุกย่างเท้า
๓. บุญกรรมทั้งหลาย ย่อมช่วยชำระอาจารคุณให้สะอาดแน่นอน ข้าพเจ้าได้คุณเหล่านี้ เพราะผลแห่งกรรมนั้น

๒๐. อานิสงส์ของการถวายเขียงเท้า
ข้าพเจ้าได้ถวายเขียงเท้าในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้สวมเขียงเท้า ซึ่งสำเร็จด้วยฤทธิ์แล้วอยู่ได้ตามความปรารถนา

๒๑. อานิสงส์ของการถวายผ้าเช็ดน้ำ
ข้าพเจ้าได้ถวายผ้าเช็ดน้ำในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีผิวพรรณดุจทองคำปราศจากธุลี
๒. เป็นผู้มีรัศมีผ่องใส
๓. เป็นผู้มีตบะ
๔. มีร่างกายมีผิวเกลี้ยงเกลา
๕. ฝุ่นละอองไม่ติดร่างกายข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าได้คุณเหล่านี้ เพราะผลแห่งกรรมนั้น

๒๒. อานิสงส์ของการถวายไม้เท้าคนแก่
ข้าพเจ้าได้ถวายไม้เท้าคนแก่ในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีบุตรมาก
๒. เป็นผู้ไม่มีความสะดุ้งกลัว
๓. เป็นผู้ได้รับการคุ้มครองโดยการอารักขาทั้งปวง ใคร ๆ ข่มไม่ได้ทุกเมื่อ
๔. ไม่รู้จักความพลั้งพลาด
๕. เป็นผู้มีใจไม่ฟุ้งซ่าน

๒๓. อานิสงส์ของการถวายยารักษาไข้และยาหยอดตา
ข้าพเจ้าได้ถวายยารักษาไข้ และยาหยอดตาในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๘ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีนัยน์ตาโต ๒. เป็นผู้มีนัยน์ตาสีขาว
๓. เป็นผู้มีนัยน์ตาสีเหลือง ๔. เป็นผู้มีนัยน์ตาสีแดง
๕. เป็นผู้มีนัยน์ตาแจ่มใส ไม่มัว ๖. ปราศจากโรคตาทุกอย่าง
๗. มีตาทิพย์ ๘. มีดวงตา คือปัญญาอย่างสูงสุด
ข้าพเจ้าได้คุณเหล่านี้ เพราะผลแห่งกรรมนั้น

๒๔. อานิสงส์ของการถวายลูกกุญแจ
ข้าพเจ้าได้ถวายลูกกุญแจในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้ลูกกุญแจคือญาณสำหรับเปิดประตูแห่งธรรม

๒๕. อานิสงส์ของการถวายแม่กุญแจ
ข้าพเจ้าได้ถวายแม่กุญแจในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๒ ประการ คือ
๑. เมื่อข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ เป็นคนมีความโกรธน้อย
๒. ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีความคับแค้นใจ

๒๖. อานิสงส์ของการถวายสายโยก
ข้าพเจ้าได้ถวายสายโยกในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในสมาธิ
๒. เป็นผู้ชำนาญในสมาธิ
๓. เป็นผู้มีบริวารไม่แตกแยกกัน
๔. เป็นผู้มีถ้อยคำที่เชื่อถือได้ทุกเมื่อ
๕. เป็นผู้มีโภคสมบัติเกิดขึ้น เมื่อยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ

๒๗. อานิสงส์ของการถวายกระบอกเป่าควันไฟ
ข้าพเจ้าได้ถวายกระบอกเป่าควันไฟในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๓ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น
๒. เป็นผู้มีเส้นเอ็นต่อเนื่องกันดี
๓. เป็นผู้ได้ที่นอนทิพย์
เพราะผลแห่งกรรมของข้าพเจ้านั้น

๒๘. อานิสงส์ของการถวายตะเกียง
ข้าพเจ้าได้ถวายตะเกียงในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๓ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีตระกูล
๒. เป็นผู้มีอวัยวะสมบูรณ์
๓. เป็นผู้มีปัญญาที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
ข้าพเจ้าได้คุณเหล่านี้ เพราะผลแห่งกรรมของข้าพเจ้านั้น

๒๙. อานิสงส์ของการถวายคนโทน้ำและผอบ
ข้าพเจ้าได้ถวายคนโทน้ำและผอบในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๑๐ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ได้รับการคุ้มครอง ๒. มีความพรั่งพร้อมด้วยสุข
๓. เป็นผู้มียศยิ่งใหญ่ ๔. มีการดำเนินชีวิตที่ดี
๕. เป็นผู้มีร่างกายที่ได้สัดส่วน ๖. เป็นสุขุมาลชาติ
๗. ปราศจากเสนียดจัญไรทั้งปวง ๘. ได้คุณอันไพบูลย์
๙. ได้รับการยกย่องนับถืออย่างมั่นคง ปราศจากความหวาดเสียว
๑๐.เป็นผู้ได้คนโทน้ำและผอบ ๔ สี และช้างแก้ว ม้าแก้ว
คุณของข้าพเจ้านั้น ไม่พินาศ นี้เป็นผลในการถวายคนโทน้ำและผอบ

๓๐. อานิสงส์ของการถวายวัตถุขัดสนิม
ข้าพเจ้าได้ถวายแปรงมือ ซึ่งเป็นวัตถุขัดสนิทในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยลักษณะทั้งปวง
๒. เป็นผู้มีอายุยืน
๓. เป็นผู้มีปัญญา
๔. เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น
๕. มีร่างกายพ้นจากความยากลำบากทุกอย่าง ในกาลทุกเมื่อ

๓๑. อานิสงส์ของการถวายกรรไกร
ข้าพเจ้าได้ถวายกรรไกร ที่มีคมบาง ซึ่งลับไว้ดีในพระสงฆ์ แล้วได้ญาณเป็นเครื่องตัดกิเลส ซึ่งบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเปรียบเทียบ

๓๒. อานิสงส์ของการถวายแหนบ
ข้าพเจ้าได้ถวายแหนบในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้ญาณเป็นเครื่องถอนกิเลส ซึ่งบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเทียบเท่า

๓๓. อานิสงส์ของการถวายยานัตถุ์
ข้าพเจ้าได้ถวายยานัตถุ์ในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๘ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีศรัทธา ๒. มีศีล
๓. มีหิริ ๔. มีโอตตัปปะ
๕. มีสุตะ ๖. มีจาคะ
๗. มีขันติ ๘. มีปัญญา

๓๔. อานิสงส์ของการถวายถวายตั่ง
ข้าพเจ้าได้ถวายตั่งในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้เกิดในตระกูลสูง มีโภคสมบัติมาก
๒. เป็นผู้ที่ชนทั้งปวงยำเกรง
๓. มีชื่อเสียงฟุ้งขจรไป
๔. มีบัลลังก์สี่เหลี่ยมจัตุรัสห้อมล้อมเป็นนิตย์ ตลอด ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๕. เป็นผู้ยินดีในการจำแนกแจกจ่ายทาน

๓๕. อานิสงส์ของการถวายฟูก
ข้าพเจ้าได้ถวายฟูกในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๖ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีร่างกายสมส่วนที่บุญกรรมก่อให้ อ่อนโยน มีรูปงาม น่าดู
๒. เป็นผู้ได้ญาณอันประเสริฐ
๓. เป็นผู้ได้ฟูกที่ยัดด้วยนุ่นอันวิจิตรด้วยรูปสัตว์ต่าง ๆ มีรูปราชสีห์ และเสือโคร่งเป็นต้น ด้วยผ้าไหม แกมดิ้นที่ปักเพชรพลอย
๔. เป็นผู้ได้ผ้าป่านอย่างดี และผ้ากัมพลต่าง ๆ จำนวนมาก
๕. เป็นผู้ได้ผ้าปาวารที่มีขนอ่อนนุ่ม และผ้าทำด้วยขนสัตว์อ่อนนุ่ม ในที่ต่าง ๆ
๖. เมื่อใด ข้าพเจ้าระลึกถึงตน เป็นผู้รู้เดียงสา เมื่อนั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่เปล่า มีฌานเป็นเตียงนอน
นี้เป็นผลแห่งกายถวายฟูก

๓๖. อานิสงส์ของการถวายหมอน
ข้าพเจ้าได้ถวายหมอนในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๖ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. ใช้หมอนที่ยัดด้วยขนสัตว์ ที่ยัดด้วยเกสรบัวหลวง และยัดด้วยจุรณจันทน์แดง หนุนศีรษะของข้าพเจ้าทุกเมื่อ
๒. ทำญาณให้เกิดในอัฏฐังคิกมรรคอย่างประเสริฐและในสามัญผล ๔ เหล่านั้น อยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์
๓. ทำญาณให้เกิดในทาน ทมะ สัญญมะ อัปปมัญญา และรูปฌานเหล่านั้น อยู่ตลอดกาลทั้งปวง
๔. ทำญาณให้เกิดในวัตร คุณ การปฏิบัติอาจารและกิริยา อยู่ตลอดกาลทั้งปวง
๕. ทำญาณให้เกิดในการเดินจงกรม ในความเพียรที่เป็นประธาน และในโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น อยู่ตามความปรารถนา
๖. ทำญาณให้เกิดในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะเหล่านั้นแล้วอยู่เป็นสุข ๑

๓๗. อานิสงส์ของการถวายตั่งแผ่นกระดาน
ข้าพเจ้าได้ถวายตั่งแผ่นกระดาน ในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๒ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ได้บัลลังก์อย่างประเสริฐ ทำด้วยทอง ทำด้วยแก้วมณี
๒. เป็นผู้ทำด้วยงาช้างจำนวนมาก
นี้เป็นผลแห่งการถวายตั่งแผ่นกระดาน

๓๘. อานิสงส์ของการถวายตั่งวางเท้า
ข้าพเจ้าได้ถวายตั่งวางเท้าในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๒ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ได้ยานพาหนะจำนวนมาก
๒. เป็นผู้ที่ทาสหญิงชาย ภรรยา และคนผู้อาศัยเหล่าอื่น บำรุงบำเรออยู่โดยชอบ
นี้เป็นผลแห่งการถวายตั่งวางเท้า

๓๙. อานิสงส์ของการถวายน้ำมันทาเท้า
ข้าพเจ้าได้ถวายน้ำมันทาเท้า ในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้ไม่มีความเจ็บไข้ ๒. มีรูปงาม
๓. มีเส้นประสาทรับรสได้เร็ว ๔. เป็นผู้ได้ข้าวและน้ำ
๕. เป็นผู้มีอายุยืน

๔๐. อานิสงส์ของการถวายเนยใสและน้ำมัน
ข้าพเจ้าได้ถวายเนยใส และน้ำมันในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมข องข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีกำลังแข็งแรง ๒. มีร่างกายสมบูรณ์
๓. เป็นคนร่าเริงทุกเมื่อ ๔. มีบุตรได้ทุกเมื่อ
๕. เป็นคนไม่เจ็บไข้ทุกเมื่อ
นี้เป็นผลแห่งการถวายเนยใส และน้ำมัน

๔๑. อานิสงส์ของการถวายน้ำบ้วนปาก
ข้าพเจ้าได้ถวายน้ำบ้วนปากในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๕ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีลำคออันบริสุทธิ์ ๒. มีเสียงไพเราะ
๓. เป็นผู้ปราศจากโรคไอ ๔. เป็นผู้ปราศจากโรคหืด
๕. เป็นผู้มีกลิ่นดอกอุบลฟุ้งออกจากปาก อยู่ทุกเมื่อ

๔๒. อานิสงส์ของการถวายนมส้ม
ข้าพเจ้าได้ถวายนมส้มในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้บริโภคอมตภัตร คือกายคตาสติอันประเสริฐ

๔๓. อานิสงส์ของการถวายน้ำผึ้ง
ข้าพเจ้าได้ถวายน้ำผึ้งที่มีสี กลิ่น และรสในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้วิมุตติรส ที่ไม่มีรสอื่นเปรียบปานได้ และไม่เป็นอย่างอื่น

๔๔. อานิสงส์ของการถวายรส
ข้าพเจ้าได้ถวายรส ตามความเป็นจริง ในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับผล ๔ ประการ (เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม) ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า

๔๕. อานิสงส์ของการถวายข้าวและน้ำ
ข้าพเจ้าได้ถวายข้าวและน้ำในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๑๐ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีอายุยืน ๒. เป็นผู้มีกำลัง
๓. เป็นนักปราชญ์ ๔. เป็นผู้มีวรรณะสวยงาม
๕. เป็นผู้มียศ ๖. เป็นผู้มีสุข
๗. เป็นผู้ได้ข้าว ๘. เป็นผู้ได้น้ำ
๙. เป็นคนกล้า ๑๐. เป็นผู้มีปัญญา
ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ ได้คุณเหล่านี้

๔๖. อานิสงส์ของการถวายธูป
ข้าพเจ้าได้ถวายธูปในพระสุคต และพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุดแล้วได้รับอานิสงส์ ซึ่งสมควรแก่กรรมของข้าพเจ้า ๑๐ ประการ คือ ข้าพเจ้า
๑. เป็นผู้มีกลิ่นตัวหอมฟุ้ง ๒. เป็นผู้มียศ
๓. เป็นผู้มีปัญญาไว ๔. เป็นผู้มีชื่อเสียง
๕. เป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ๖. เป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง
๗. เป็นผู้มีปัญญาร่าเริง ๘. เป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง
๙. เป็นผู้มีปัญญาไพบูลย์ ๑๐. เป็นผู้มีปัญญาแล่นไปเร็ว
เพราะผลแห่งการถวายธูปนั้น ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ได้บรรลุนิพพาน ซึ่งเป็นสันติสุข ในกาลบัดนี้

ผลขั้นสุดท้ายแห่งอานิสงส์ต่าง ๆ
กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนขึ้นได้แล้ว ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันไปแล้ว อยู่อย่างไม่มีอาสวะ ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้า เป็นการมาดีแล้วโดยแท้ วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว

สรุป
เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้น เป็นอย่างไร อิ่มใจไหม สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้ว ก็จะตอบตนเองได้ อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลตรงกัน แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้น ไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย

สุดท้ายนี้ ขอเดชานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลที่ท่านได้กระทำมามีการถวายทาน รักษาศีล และการเจริญจิตภาวนา เป็นต้น จงมารวมกันเป็นตบะ เป็นเดชะพลวปัจจัยให้ท่านประสบความสุขความเจริญ และจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ธรรมสารสมบัติ ตลอดกาลเป็นนิตย์เทอญ.
ที่มา : คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา

พร 4 ข้อจากท่าน ว.วชิรเมธี

พร 4 ข้อจากท่าน ว.วชิรเมธี


ใครที่ไม่ได้ไปนั่งฟังการบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี มีพี่ๆ ที่รู้จักไปนั่งฟังมา ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้

1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ' กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก ' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ' จิตประภัสสร ' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข '

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
' แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน '
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ' เจ้ากรรมนายเวร ' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ' ไฟสุมขอน ' ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ' แผ่เมตตา ' หรือ ซ! ื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล ่อยให้ลอยไป


3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ' ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น '
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน '
' อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี ' สติ ' กำกับตลอดเวลา


4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
' ตัณหา' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม'
ทุกอย่! างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เ ช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลาไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า 'เิกิดมาทำไม' 'คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน 'ตามหา 'แก่น' ของชีวิตให้เจอ
' คำว่า 'พอดี' คือ ถ้า 'พอ' แล้วจะ 'ดี' รู้จัก 'พอ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข'



กรุณาส่งข้อความดีๆ อันนี้ให้คนที่ท่าน ' รัก ' และ ' ปราถนาดี '
หวังว่าทุกๆท่านจะได้ประสบแต่ความสุขกายสบายใจ นะ

ขอบคุณข้อความดีๆจากต้นสาย forward email