วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

ตอนใกล้ตาย มันมีความรู้สึกอย่างไร?

“ตอนใกล้ตาย” มันมีความรู้สึกอย่างไร? อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุยกับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไรคุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร
ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัวกลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ๆ ไปหมด ทุกอย่างที่เห็นเหมือนมองไปกลางถนนขณะแดดจัด ๆ ภาพต่าง ๆ จะเต้นระยิบระยับไปหมด

๒. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้ คือเริ่มไม่ได้ยินเสียงอะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

๓. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาวจับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

๔. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจจะหยุดหมด พลังงานทั้งหลายที่เคยไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใด ๆ ความรู้สึกสัมผัสหมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือนอยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่าผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death)

นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว

ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว

ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ “ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”

คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะยัง “ยึดติด” กับหลายเรื่อง

หรือที่ผมเรียกว่า “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการคือ

๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง
๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง
๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี
๔. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการอย่างนี้ เรียกว่าตายอย่าอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้นแปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก ๔ ประการคือ

๑. มีอารมณ์เฉย ๆ ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย
๒. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
๓. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต และเกิดปิติปลาบปลื้ม
๔. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละ, ผมจึงเห็นว่าการ “ฝึกตายก่อนตาย” ดั่งที่ท่านพุทธทาสเคยสอนเรานั้นเป็นเรื่องประเสริฐสุด

แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว
การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้นลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกตื่นรันทดและทรมานเพราะความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกธรรมะในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า “ขันธ์ทั้งห้า” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้

เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

40 วิธีทำตัวไม่ให้ "แก่"

40 วิธีทำตัวไม่ให้ "แก่"

1. ไม่อ้วนไม่ผอม

2. ไม่เที่ยว ดื่มน้ำสะอาด ทาครีม กางร่ม ฯลฯ

3. อย่าดัดผม อย่ายีผม อย่าฉีดสเปรย์

4. อย่าแต่งหน้าสีสันจัดจ้าน อย่าเขียนขอบตาสีดำ อย่าใส่ขนตาปลอม

5. อย่าจีบปากจีบคอ รอบๆ ริมฝีปากจะได้ไม่ย่น

6. อย่าหมกมุ่นเรื่องอดีต

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

กฎ 2 นาที = “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้”

กฎ 2 นาที = “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้”

คำหลัง..ยาวกว่าคำหน้านิดเดียว
แต่อนาคตยาวไกลกว่ากันเยอะ
– ประภาส ชลศรานนท์
ช่วงนี้ผมพยายามเตือนตัวเองให้ใช้ "กฎ 2 นาที" อยู่บ่อยๆ
กฎข้อนี้ ...มาจากของ David Allen ผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับ Productivity ที่ดังมากๆ ในอเมริกา
กฎ 2 นาที ที่ว่า ก็คือ.. ถ้าอะไรใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ก็ทำมันไปเลย
เช่น ตอนค่ำกลับมาถึงบ้าน กินน้ำผลไม้เสร็จแล้ว แทนที่จะแช่แก้วน้ำไว้ค้างคืน ก็ล้างมันซะเลย หรือ
เมื่อเช้านี้ ผมยกตะกร้าผ้าลงมาข้างล่าง เพื่อเอาเสื้อผ้าไปส่งซัก พอเดินถือตะกร้าเปล่ากลับมา ผมก็มีทางเลือกว่า...
จะวางตะกร้าไว้ข้างล่างก่อน เพื่อจะเดินไปกินข้าวในครัวหรือ
จะเอาตะกร้าผ้าขึ้นไปเก็บที่ห้องก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว
ธรรมดา...ผมจะเลือกอย่างแรกเพราะขี้เกียจเดินขึ้น-เดินลง
แต่คราวนี้ ...พอรู้ว่าการเอาของขึ้นไปเก็บก่อน ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ผมก็เลยเอาตะกร้าขึ้นไปเก็บเลยแล้วค่อยเดินลงมาทานข้าว อาจจะเสียแรงเพิ่มซักหน่อย แต่ก็ถือว่า...เป็นการออกกำลังกายไปในตัว

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

20 คำพูด กินใจ ของปราชญ์ชาวจีน ไม่เคยล้าสมัย

20 คำพูด กินใจ ของปราชญ์ชาวจีน ไม่เคยล้าสมัย
1. "ซุนวู" " ชมคนด้วยวาจา... มีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจา... สาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ.."
2. "ฮั่วหลัวเกิง" " คนอื่นช่วยเรา... เราจะจำไว้ชั่วชีวิต เราช่วยคนอื่น... จงอย่าจำใส่ใจ "
3. "ปันกู้" " น้ำใสสะอาดเกินไป... ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา คนที่เข้มงวดเกินไป... ย่อมไร้ซึ่งบริวาร " 
4. "หลี่ต้าเจา" " ความไม่พอใจ... ความกลัดกลุ้มหงุดหงิด ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฮึดสู้มากยิ่งขึ้น ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เราท้อแท้... ห่อเหี่ยวยอมจำนนต่ออุปสรรค์..."
5. "ปาจิน" " ในชีวิตของเรา... มิตรภาพเปรียบเสมือนโคมส่องสว่างดวงหนึ่ง... ซึ่งสาดส่อง จิตวิญญาณของเราให้สว่างไสว ทำให้ชีวิตของเรามีแสงสีอันงดงาม.."
6. "หยางว่านหลี่" " ตัวสกปรกก็คิดจะอาบน้ำ เท้าสกปรกก็คิดจะล้างเท้า แต่ใจสกปรก กลับไม่คิดที่จะชำระใจ..."  

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แง่คิดของการเป็นเพื่อน

(tree)แง่คิดของการเป็นเพื่อน

(Asian Girl Pose 1)ถ้าเพื่อนทุกคนมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณ
นั่นเพราะว่าคุณรู้จักอะลุ้มอล่วยผ่อนหนักผ่อนเบาเป็น

(Happy Guy)ถ้าคุณมีความสุขที่ได้อยู่กับเพื่อนทุกคน
นั่นเพราะว่าคุณรู้จักมองข้าม ข้อผิดพลาดของผู้อื่นเป็น

(Smlie 2)การเป็นเพื่อนกับใครสักคน มันไม่ง่าย เพราะต้องใช้เวลา กับความผูกพัน
คัดกรองกันยาวนาน กว่าจะรู้จักใจจริงแท้ นิสัยและอัธยาศัยของแต่ละคน

(Shh!)บางครั้งขัดใจกันบ้าง คิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง
ก็ต้องรู้จักปล่อยผ่านไปให้เป็น มิใช่หุนหันพลันแล่น ตัดความสัมพันธ์ จนไม่เหลือเพื่อนดีๆ ไว้เลย

(No No No)การตัดขาดกับเพื่อนนั้นมันง่าย แต่การผสานไมตรี มันยาก

(Cool)กว่าเราจะได้เพื่อนสักคน  ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็ยังรู้สึกสนิทสนม คุยได้เหมือนเดิม
ไม่ว่าฐานะทางสังคมจะต่างกัน แค่ไหน ... มันไม่ง่ายเลย

รักษาคนดีของคุณไว้ เหมือนรักษาความดีในตัวคุณ (smile)มิตรภาพไม่มีสูญสิ้น(hearts)

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เครื่องกรองสามชั้น

“เครื่องกรองสามชั้น”

นานมาแล้ว ณ ประเทศกรีก มีนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งชื่อว่า "โซเครติส (หรือ โสกราตีส)" กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านของเขา ตอนนั้นเองมีเพื่อนคนหนึ่งแวะมาทักทายและกล่าวว่ามีเรื่องเกี่ยวกับใครคนหนึ่งจะเล่าให้ฟัง โซเครติสบอกเพื่อนว่า ...
“เพื่อนเอ๋ย รอเดี๋ยวก่อน ก่อนที่เพื่อนจะเล่าเรื่องของเพื่อนนั้น เพื่อนได้นำเรื่องของเพื่อนไปกรองกับเครื่องกรองสามชั้นมาแล้วหรือยัง”
เพื่อนของโซเครติสงงมาก ถามกลับว่า “เครื่องกรองสามชั้นอะไรหรือ”
“เป็นเครื่องกรองที่ทำให้เรารู้ว่า เรื่องของเราควรส่งต่อถึงผู้อื่นหรือไม่” โซเครติสตอบ
“ข้าก็ยังงง ๆ อยู่ดีล่ะ ไหนลองบอกส่วนประกอบของแต่ละชั้นกรองมาซิ”
โซเครติสจึงบอกว่า “เครื่องกรองชั้นแรกก็คือ ความจริง ขอถามหน่อย "เรื่องที่เพื่อนจะพูดหรือเล่าออกมาเป็นความจริงหรือไม่”
เพื่อนของโซเครติสบอกว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะฟังมาจากคนอื่นอีกที แต่เขาก็บอกมาว่าเป็นจริงนี่”

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เข้าคอร์สกำจัดจุดอ่อนกัน...

เข้าคอร์สกำจัดจุดอ่อนกัน...

รู้หรือไม่..?

....." เป้าหมาย ".....

ทำไมไปไม่ถึงสักที..!!

1.คลั่งใคล้ไม่พอ...
จะทำอะไรสักอย่าง ต้องมีความอยาก ความคลั่งไคล้ ความหลงใหล ความกระหาย ความรู้สึกเหล่านี้จะทำให้ทำอะไรได้อย่างไม่เหนื่อย

2.ห่วงหน้าพะวงหลัง...
ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ลึกๆยังหวั่นใจ กลัวว่าจะไม่สำเร็จ เลยเลือกทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยหลายๆ อย่าง ดูเหมือนดี แต่ไม่ดี ไม่มี focus และไม่ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ในการผลักดันเป้าหมายที่ต้องการ กลับกลายเป็นว่าห่วงไปหมดทุกสิ่ง ทำอะไรไม่เต็มที่สักอย่าง

3.ขาดการวางแผนที่ดี...
มีเป้าหมาย ไม่ได้วางแผนให้ดี มีโอกาสหลงทางง่ายๆ โดยเแพาะเป้าหมายใหญ่ๆในชีวิต จำเป็นที่ต้องวางแผน จากวันนี้จนถึงเป้าหมายจะเดินไปอย่างไร ต้องเตรียม อย่าเดินสะเปะสะปะ

4.ไม่กล้า...
อยากไปถึง...ให้ไว ใจต้องถึง มัวแต่ไม่กล้า จะย่ำอยู่กับที่ ลองใจกล้า ถ้าลองแล้วมันแย่ ก็จะได้เรียนรู้ แต่ถ้าลองแล้วดี ก็จะก้าวไปเร็วอีกหน่อย

5.ขาดเพื่อนร่วมทาง...
ความสำเร็จ ไม่อาจเกิดได้ด้วยตัวคนเดียว คนที่ประสบความสำเร็จมีเพื่อนคู่คิด มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ มีทีมเวิร์คที่กล้าไปด้วยกัน สิ่งนี้สำคัญต่อจิตใจมาก ยามท้อ...จะมีกำลังใจมากกว่า จะได้สู้ไม่ถอย

6.ขาดความรู้ที่ถูกต้อง...
หากยังไปไม่ถึงไหน คงต้องเปลี่ยนวิธีบ้าง หาข้อมูลเพิ่มเติม เปิดโลกให้กว้างขึ้น ใจต้องกว้างๆพร้อมที่จะรับความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้ อย่าหยุดพัฒนาหาความรู้

7.ล้มแล้วจม...
คนเราต้องมีผิดพลาดกันบ้าง ผิดแล้วอย่ามัวแต่จมกับสิ่งทีผิดพลาด เปลี่ยนความผิดพลาดเหล่านั้นเป็นบทเรียน  เรียนรู้และหาทางเดินในก้าวต่อไปไม่ให้ผิดซ้ำอีก แต่ถ้ามัวแต่ไปจมกับปัญหา บอกเลยว่า ชาตินี้ไม่ต้องไปไหน

8.หูเบา...
ตลอดเส้นทางกว่าจะถึงเป้าหมาย ล้วนแต่มีคนที่หวังดี และไม่หวังดี ให้ใช้หลักการ และเหตุผลประกอบการตัดสินใจไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องมีสติอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ บางทีสิ่งที่ได้ยิน อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป

9.ลืมให้กำลังใจตัวเอง...
กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก เวลาได้กำลังใจจากใคร หัวใจมันพองโต อย่ามัวแต่รอให้คนอื่นมาให้กำลังใจ หากำลังใจให้ตัวเอง !!

10.ขาดความสม่ำเสมอ...
ถ้าขาดความใส่ใจ ขาดความสม่ำเสมอ ทำอะไรแบบเบื่อๆ อยากๆ ไปไม่ถึงแน่นอน  จริงจังให้ทำเหมือนการกินข้าว ต้องกินทุกวัน