วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

ฉันคือ " ตับ " ของคุณ

ฉันคือ " ตับ " ของคุณ
อ่านดูนะครับ แล้วคุณจะรักตัวคุณและคนที่คุณรักมากขึ้นครับ
หวัดดี...ฉันคือตับ ของคุณ ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด 9 ข้อ นะครับ..
1. ฉับสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป
2. ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณ หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่
3. ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฏหมายทั้งหลาย หากไม่มีฉันแล้วนิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว
4. ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท , กลูโคส และ ไขมัน) ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมัน หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป
5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก หากไม่มีฉันแล้วก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่
6. ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการ เพื่อการมี สุขภาพดีและเจริญเติบโต
หากไม่มีฉันแล้วคุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร
7. ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป หากไม่มีฉันแล้วคุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น
8. ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด หากไม่มีฉันแล้วคุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด
9. ฉันคอยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่
อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง หากไม่มีฉันแล้วคุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี
ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน...
แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม ?
ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รัก ฉัน , ตับ ของคุณ
อย่ากดฉันให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย
สำหรับบางคนแล้วเพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต
ระวังบรรดา " ยา " ทั้งหลาย
ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี
และเมื่อคุณเอามันมาผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ มันก็กลายเป็นยาพิษ ที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละ
ฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย
บางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ การกินยาเกินความจำเป็น เป็นนิสัยไม่ดี บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้
จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย
จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่างที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย
ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์ ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย
อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมี ระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป
ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้น สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วย
ป้องกันผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้งที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง
คำเตือน
ฉันไม่สามารถและไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหา จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้ว
จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น ให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะ สามารถทำร้ายฉันได้!
นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ
โปรดฟังคำแนะนำฟรี
พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ
การตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้
ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่
ถ้าคุณหมอสงสัย การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้
อายุของฉัน คืออายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน
คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันรักคุณแค่ไหน
ได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน
จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบ และคู่รักนิรันดร ของคุณ
ฉันเอง
คุณตับ

โปรดส่งต่อให้คนที่คุณรักด้วยครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชมรมคนรักสุขภาพ

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

10 อย่างที่ “ควรทิ้ง” เพื่อชีวิตที่มีความสุข

10 อย่างที่ “ควรทิ้ง” เพื่อชีวิตที่มีความสุข
“ความสุข” ไม่ใช่เป้าหมาย แต่มันคือความรู้สึกของเรา ที่เราสามารถเลือกได้ ควบคุมได้
แต่หลายๆ คนมักจะลืม หลายๆ คนไขว่คว้าหาความสุขมาทั้งชีวิต แต่หารู้ไม่ว่ามันอยู่ที่การปรับมุมมองของเราในชีวิตเท่านั้นเอง…
และนี่คือ 10 อย่างในชีวิตที่ถ้าคุณยังมีอยู่…คุณ “ควรทิ้ง” มันซะ เพื่อชีวิตที่จะมีความสุขมากขึ้น!
1. ทิ้ง “ความอิจฉา”
เมื่อคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ มันจะดีก็ต่อเมื่อ มันเป็นแรงบันดาลใจให้คุณในการแข่งขัน และพัฒนาตัวเอง แต่มันจะเริ่มไม่ดี ถ้าความสำเร็จของคนอื่นทำให้คุณรู้สึกริษยา และไม่สามารถยินดีกับคนนั้นได้ นี่จะทำให้คุณทุกข์เอง
2. ทิ้ง “ความกลัวที่จะเปลี่ยน”
หลายๆ ครั้ง แม้สถานการณ์ปัจจุบันมันจะแย่แค่ไหน คนเราก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยน กลัวที่จะเปลี่ยน เพราะกลัวสิ่งใหม่ มากกว่า แต่คุณหารู้ไม่ว่า บางที่สิ่งใหม่มันอาจจะดีกว่าสิ่งที่คุณเจออยู่มากมายก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น กล้าที่จะเปลี่ยนเถอะ
3. ทิ้ง “ความคิดที่ว่า ทุกอย่างต้องอยู่ในความควบคุม”
คนจำนวนไม่น้อย ชอบความเป๊ะ ชอบให้ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม เป็นไปตามแผน แต่พอมันไม่เป็นไปตามนั้น ก็จะทุกข์ เพราะฉะนั้น ปล่อยวาง ทำให้เต็มที่ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็รับมันซะ ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้หมดจริงๆ หรอก
4. ทิ้ง “การทำงานที่มากเกินไป โดยเฉพาะ OT”
เพื่อความสำเร็จ เพื่อหน้าที่การงาน หรือเพื่อเงิน ทำให้หลายๆ คนทำงานหนัก หนักเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพิกเฉยความสำคัญของสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิต นี่ไม่ควรเลย เพราะสุดท้าย เมื่อคุณสำเร็จจริงๆ คุณจะเสียดายในหลายๆ อย่างที่คุณเสียไป และเอากลับคืนมาไม่ได้ อย่างเช่น เวลา หรือครอบครัว
5. ทิ้ง “การโทษคนอื่น หรือสิ่งอื่น”
หลายๆ คน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะต้องหาสิ่งของ หรือ คนมารับผิดชอบให้ได้ ต้องโทษนู่น โทษนี่ตลอดเวลา เปลี่ยนจากแบบนั้น มาเป็นการนั่งมองที่ปัญหา และช่วยกันแก้ไขดีกว่านั้น
6. ทิ้ง “การบ่น หรือตำหนิตลอดเวลา”
แทนที่จะบ่น ตำหนิ เรื่องไม่ดี ที่ไม่ได้ดั่งใจเราตลอดเวลา เปลี่ยนมุมมองใหม่ เป็นการตั้งสติ มองว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร และแก้ไขอย่างไร แบบนี้คุณจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย
7. ทิ้ง “ความคิดที่ว่าจะต้องถูกเสมอไป”
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง การที่ต้องมานั่งเครียด กลัวว่าเราจะไม่ “สมบูรณ์แบบ” นั้น มันทำให้คุณไม่มีทางมีความสุขได้เลย ปล่อยวาง และยอมรับในธรรมชาติของมนุษย์เสียเถอะ
8. ทิ้ง “ความเชื่อที่จำกัดความสามารถคุณ”
บางคนมักมีความเชื่อที่ว่า เราทำนู่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้ เราทำได้แค่นี้แหละ พอแล้ว ความคิดเหล่านี้ เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในชีวิต ที่จะทำให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก หรือท้าทายไปสู่ความสำเร็จจริงๆ
9. ทิ้ง “เพื่อนแย่ๆ”
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้น อยากเป็นคนแบบไหน การคบเพื่อนคือเรื่องสำคัญ ถ้าเพื่อนดี คุณก็ดีไปด้วย ถ้าเพื่อนไม่ดี คุณก็พลอยแย่ไปด้วยนั่นเอง
10. ทิ้ง “อดีต”
อดีต คือประสบการณ์ที่มีทั้งดี และไม่ดี มันคือสิ่งที่สร้างตัวตนของเราขึ้นมา แต่มันไม่ควรเป็นสิ่งที่รวบรวมความเสียใจในอดีต และทำให้คุณก้าวไปไหนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันเป็นแบบนั้น ปล่อยวาง และทิ้งมันไปบ้างก็ได้
Credit : Forwarded Line
ชุลีพร ช่วงรังษี

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

10 วิธี จัดสรรการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

10 วิธี จัดสรรการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ใครๆ ก็รู้ว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่ามากแค่ไหน ยิ่งสมัยนี้เวลาล้วนเป็นเงินเป็นทองทั้งสิ้น สิ่งสำคัญคือ คุณจะใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพได้มากแค่ไหน นี่คือวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดสรรชีวิต แบ่งเวลาสำหรับกิจกรรมต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

1. ใช้กระดาษโน้ต หรือ Post-it สำหรับงานที่ต้องการความเร่งด่วนที่สุด
2. สร้างรายการ สิ่งที่คุณต้องทำ รวมไว้ในกระดาษแผ่นเดียว
3. ไม่ว่าจะงานเล็ก งานใหญ่ ต้องจดให้ครบทุกงาน ห้ามลืมเด็ดขาด
4. สร้างโครงสร้างการทำงาน วางกรอบการทำงาน เพื่อให้จัดสรรเวลาได้ดีขึ้น
5. ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย หรือใช้เครื่องบันทึกเสียง ทุกครั้งที่บรรเจิดไอเดียใหม่ๆ ให้อัดเสียงไว้ทันที
6. แบ่งเวลาสำหรับการสื่อสาร เพื่อให้คุณมีสมาธิทำงานมากขึ้น ไม่สะดุด และไม่มีอะไรมาขัดขวางการทำงานได้
7. ใช้กระดาษ และปากกา ทิ้งสมาร์ทโฟนของคุณไปก่อน ลองหยิบกระดาษและปากกามาใช้บ้าง
8. จัดลำดับความสำคัญของงาน เน้นงานที่สำคัญที่สุด และไฮไลท์ว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำอันดับแรก
9. ถ้าถึงช่วงวิกฤตจริงๆ การแบ่งเบางานให้คนอื่นทำบ้างจะช่วยให้งานเสร็จได้
10. ตื่นให้เช้าขึ้น ช่วงเช้าจะเป็นเวลาที่สงบ และเหมาะสมสำหรับการทำงานอย่างยิ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก:
www.marketingoops.com
(http://bit.ly/1M6tvGZ)

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความสมดุลย์ นำความสำเร็จมาให้

***ความสมดุลย์ นำความสำเร็จมาให้***

"ความภูมิใจ"ในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าภูมิใจมากเกินไป
จนกลายเป็น "พูดข่ม" คนอื่นไปทั่ว
คุณจะกลายเป็นคน "คุยโว โอ้อวด"

"ความมั่นใจ" ในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ถ้ามั่นใจมากเกินไป
จนกลายเป็นคน "ไม่ฟัง" ใคร
คุณจะกลายเป็นคน "หยิ่งยะโส"

"ความรู้" เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ
แต่ถ้ามีความรู้มาก
จนคิดว่าตัวเอง "ถูกเสมอ"
คุณจะกลายเป็นคนมี "อีโก้"

"ความอ่อนน้อม"จะทำให้คุณเป็นคนน่ารัก
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็น "ยอม" ทุกคน
คุณจะกลายเป็นคน "อ่อนแอ"

"ความจริงจัง" จะทำให้คุณดูมุ่งมั่น
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็น "หวังผลลัพธ์สูง"
คุณจะกลายเป็นคน "เครียด" ตลอดเวลา

"ความนิ่ง" จะทำให้คุณดูสุขุม
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็นความ "เฉื่อยแฉะ"
คุณจะกลายเป็นคน "ไร้น้ำยา"

"บริหารตัวเองให้สมดุลย์"

"ภูมิใจ แต่ เคารพผู้อื่น"
"มั่นใจ แต่ พร้อมรับฟัง"
"อ่อนน้อม แต่ แข็งแกร่ง"
"จริงจัง แต่ มีความสุข"
"นิ่ง แต่ มีพลัง"

นี่คือ ***ความสมดุลย์ นำความสำเร็จมาให้***

"ความภูมิใจ"ในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าภูมิใจมากเกินไป
จนกลายเป็น "พูดข่ม" คนอื่นไปทั่ว
คุณจะกลายเป็นคน "คุยโว โอ้อวด"

"ความมั่นใจ" ในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ถ้ามั่นใจมากเกินไป
จนกลายเป็นคน "ไม่ฟัง" ใคร
คุณจะกลายเป็นคน "หยิ่งยะโส"

"ความรู้" เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ
แต่ถ้ามีความรู้มาก
จนคิดว่าตัวเอง "ถูกเสมอ"
คุณจะกลายเป็นคนมี "อีโก้"

"ความอ่อนน้อม"จะทำให้คุณเป็นคนน่ารัก
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็น "ยอม" ทุกคน
คุณจะกลายเป็นคน "อ่อนแอ"

"ความจริงจัง" จะทำให้คุณดูมุ่งมั่น
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็น "หวังผลลัพธ์สูง"
คุณจะกลายเป็นคน "เครียด" ตลอดเวลา

"ความนิ่ง" จะทำให้คุณดูสุขุม
แต่ถ้ามีมากเกินไป
จนกลายเป็นความ "เฉื่อยแฉะ"
คุณจะกลายเป็นคน "ไร้น้ำยา"

"บริหารตัวเองให้สมดุลย์"

"ภูมิใจ แต่ เคารพผู้อื่น"
"มั่นใจ แต่ พร้อมรับฟัง"
"อ่อนน้อม แต่ แข็งแกร่ง"
"จริงจัง แต่ มีความสุข"
"นิ่ง แต่ มีพลัง"

นี่คือ ศาสตร์แห่งความ "สมดุลย์"

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

9 กำลังใจ อ่านกี่ครั้งๆก็ไม่เบื่อ

9 กำลังใจ อ่านกี่ครั้งๆก็ไม่เบื่อ

1. อย่ากลัว การเริ่มต้นใหม่
และอย่าแคร์ สายตาใคร
ตราบใดที่เรา ยังหายใจ
ด้วยจมูกของเราเอง

2. คนอื่น ไม่ให้โอกาสเรา
ยังไม่น่าเศร้า เท่ากับเรา
ไม่ให้โอกาสตัวเอง

3. กระจก ไม่เคยดูถูกใคร
มีแต่คนที่ไม่มั่นใจ ที่ดูถูกตัวเอง

4. คนฉลาด ไม่ใช่ผู้ที่ ชนะการโต้แย้ง
แต่คนฉลาด คือผู้ที่ออกห่าง
จากการโต้แย้ง ตั้งแต่เริ่มต้น

5. คนที่ใช้ชีวิตคุ้มค่า คือ
คนที่ได้ทำ ในสิ่งที่อยากทำ
ไม่ใช่เพราะได้ทำ
ในสิ่งที่ คนอื่นอยากให้ทำ

6. อย่าเป็นคนเก่ง ที่แล้งน้ำใจ
แต่จงเป็น คนธรรมดาทั่วไป
ที่มีน้ำใจ และไม่เห็นแก่ตัว

7. มองปัญหา ให้เหมือนกับ เม็ดทราย
ถึงจะเยอะมากมาย แต่เม็ดทราย ก็เล็กนิดเดียว

8. ไม่มีใครดีเลิศหรือ เพอร์เฟค หรอก
เพราะขนาดดินสอ ยังต้องมียางลบ

9. ใครจะดูถูกเรา ก็ปล่อยให้เค้าดูถูกไป
แต่จงท่องให้ขึ้นใจว่า เราจะไม่ดูถูกตัวเอง

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

จาก ประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุด ที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน

อาจารย์ท่านหนึ่ง ของมหาวิทยาลัย Cornell ชื่อ Karl Pillemer ซึ่ง ได้ไปสัมภาษณ์ชาวอเมริกัน ที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยคำถามเด็ดนั้นอยู่ที่ว่า “จาก ประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุด ที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” แล้ว ก็นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ แต่เขาได้คัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการ ที่โดดเด่นเอาไว้ครับ โดยบทเรียนทั้ง 10 ประการ ประกอบด้วย

1. ให้เลือกอาชีพโดย
ดูจากความต้องการ ภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่า ความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ

2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกาย
เหมือนกับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเรา ไม่ว่าจะเป็นการ สูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อสูงวัย

3. ตอบตกลงต่อโอกาส
ที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาส หรือความท้าทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจ หรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือก คู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดู และทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกัน จนกว่าจะรู้จักอีกฝ่ายหนึ่งอย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ (ชอบมากครับ) เมื่อมีโอกาสให้เดินทางครับ คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่าง ๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้ พูดในสิ่งที่อยากจะพูด เนื่องจากเรามักจะเสียใจ และเสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลาย ๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิต อยู่เท่านั้นนะครับ

7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้น แต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้านะครับ แต่ให้ ทำในสิ่งที่สำคัญ และมีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจาก เงื่อนไขต่าง ๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเรา เองตลอดชีวิตเรา

9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่าง ๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้ หยุดกังวลครับ หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

10. คิดเล็ก อย่าคิดใหญ่ ค่อย ๆ ซึมซับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นครับ

บทความโดย : Karl A. Pillemer  
ที่มา : Forward Mail

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กฎ 12 ข้อในการสร้างทีมเวิร์ค

ทีมเวิร์คคืออะไร?

ทีมเวิร์คคือ "การทำงานที่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว มีหัวใจดวงเดียวคือเราต้องเป็นทีมแชมเปี้ยน"

หัวใจองค์กร(สาขา) คือ ทีมเวิร์ค

การสร้างทีมงานที่มีความเป็นเลิศคือการสร้างทีมงานที่มีความเก่งสมดุลย์กัน ทีมที่ดีใม่ต้องการวีรบุรุษวีรสตรี หรือใครเก่งคนเดียว ซึ่งในการทำให้องค์กร(สาขา)ของเราเป็นทีมเวิร์ค สามารถทำได้ง่ายๆคือ

กฎ 12 ข้อในการสร้างทีมเวิร์ค

1.ทุกคนทำงานด้วยความสนุก อยากทำงาน ไม่อยากหยุด
2.ทำงานด้วยบรรยากาศยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ทะเลาะกัน ไม่เกี่ยงงานกัน