วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

.อ่านแล้วน้ำตาจะไหล อย่าตัดใครออกจากชีวิตง่ายๆนะ...

  .อ่านแล้วน้ำตาจะไหล
อย่าตัดใครออกจากชีวิตง่ายๆนะ...

พี่น้อง...ให้อภัยแล้วให้โอกาส
สิ่งนี้เรียกว่า "รัก"

เมื่อเด็กน้อย ออกแรงนวดศีรษะให้พ่อ อย่างตั้งใจ
สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"

เมื่อภรรยา...ชงชาให้สามี....ยามเขาเหนื่อยล้า...
สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"

เมื่อแม่.แบ่งชิ้นเค้กที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด...เพื่อลูก
สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"

เมื่อเพื่อนนั่งอยู่ข้างๆให้กำลังใจ ในยามเราท้อแท้ สิ้นหวัง
สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"

เมื่อพี่ชายโทรหาน้องสาว และถามว่าใกล้ถึงบ้านหรือยัง
สิ่งนี้เรียกว่า "รัก"

เพื่อนในไลน์ที่สวัสดี Good Morning ให้ทุกเช้า ให้สาระความรู้ที่เป็นประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม
สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"

รัก..ไม่ใช่เพียงภาพผู้ชายและผู้หญิงกุมมือกัน..

รัก..ไม่ใช่ความหวานชื่น ความสุขในวัยหนุ่มสาว ..เท่านั้น

แต่...แท้จริงแล้ว "รัก" คือการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำให้คนที่เรารักอยู่ตลอดเวลา...โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และอยากทำให้เรื่อยๆ..ไม่รู้เบื่อ.. ที่จะทำ
ที่แท้แล้ว....ชื่อจริงของความรัก

คือ "การใส่ใจ"
นี่คือ วาเลนไทน์
ของแท้
พออายุเริ่มมากขึ้น ถึงค่อยเข้าใจ

ใส่นาฬิกา ราคาสามร้อย หรือสามล้าน เวลาก็ตรงกัน           

หิ้วกระเป๋า สามร้อย หรือสามหมื่น ในกระเป๋า ก็ใส่เงิน ได้เหมือนๆกัน

ดื่มเหล้าสามสิบ หรือสามพัน เวลาอาเจียน ก็เหมือนกัน

อยู่บ้าน 30 ตารางวา หรือ 300 ตารางวา เวลาโดดเดี่ยว ก็ไม่ต่างกัน

วันหนึ่ง คุณจะเข้าใจ ความสุขที่แท้จริง ในใจคุณไม่ใช่อยู่ที่ สมบัติพัสถาน

สูบ (สูบบุหรี่) สิบบาท หรือร้อยบาท ก็เป็นมะเร็งปอด เหมือนกัน

นั่ง First Class
หรือ Economy เวลาเครื่องบิน เกิดอุบัติเหตุ ก็กลับมาไม่ได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้น คิดให้เข้าใจพอเพียง ถึงมีความสุขถาวร

สิ่งสำคัญ... ขอแค่มีเพื่อนเก่าๆ อยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน ไร้สาระบ้าง หัวเราะกันบ้าง จิปาถะ โน่น นี่ นั่น จึงเป็นสิ่งที่มีความสุข...
จริงมั้ย?? มีใครจะปฏิเสธบ้าง..!!

แล้ววันนี้คุณคิดถึง เพื่อนคนไหน?
อย่าลืมบอกเขา_ ส่งให้คนที่คุณรัก

คำไว้อาลัยงานพระราชทานเพลิงศพนายแพทย์ สุรพล รักปทุม

อ่านให้จบนะ

คำไว้อาลัยงานพระราชทานเพลิงศพนายแพทย์ สุรพล รักปทุม

"ท่านเป็นหมอ ทำงานรักษาคนไข้มาตลอดชีวิต
เปิดคลีนิคของตัวเอง ร่วมธุรกิจกับพอล-ภัทรพล

เปิดบริษัทผลิตยา และลงทุนกับยุรนันท์ ภมรมนตรี(คงรู้จักดี)
เปิดคลีนิคสุขภาพ เป็นที่ปรึกษาให้เหล่าดารา ไปฉีดสเตมเซลล์เพื่อรักษาสุขภาพชลอความแก่ มีลูกค้าเป็นดารามากมาย และเงินทองก็มีมากเช่นกัน
แต่กลับพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ และใช้เงินที่หามาทั้งชีวิตพยายามรักษาตัวเองด้วยการไปผ่าตัดเปลี่ยนตับที่เมืองนอก กลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน ตรวจพบมะเร็งรุกลามมาที่ปอด ก็ยังพยายามหาวีธีต่อสู้กับมะเร็งร้ายเรื่อยมา สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะมันได้

ท่านเสียชีวิตในที่สุด ท่านฝากให้พวกเราทั้งหลายระลึกไว้ว่า

อย่าคิดว่าหมอจะช่วยชีวิตคุณได้ หมอที่ดีคือตัวคุณ ดูแลชีวิตดีกว่าให้ใครมาช่วยชีวิต

อย่าเห็นการทักทายของใครเป็นสิ่งน่ารำคาญ คนที่ส่งข้อความให้คุณเสมอเพราะคุณยังอยู่ในใจเขา

คำถามที่น่าคิด คุณมีเงิน แต่คุณมีค่าไหม? เรามักแสวงหาสิ่งที่เราคิดว่า มีค่ามากที่สุดในชีวิต แต่สุดท้าย ทุกคนหนีไม่พ้นอนิจจัง หมั่นคิดดี พูดดี ทำดี คุณค่าของชีวิต สร้างได้โดยไม่ต้องใช้()  สุขภาพดีมาจากไหน ? 

พื้นฐาน 4 ประการ​ในชีวิตประจำวัน คือ

😊 -สภาวะจิตที่สงบสุข
😄 -มีโภชนาการที่สมดุล
😅 -ออกกำลังกายพอเหมาะ
😌 -นอนหลับให้เพียงพอ 

() คนเราจะอยู่ได้​อย่างมีคุณภาพ​ต้องอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต


()บรรดาโรคหัวใจ  โรคความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวาน  เกิดจากการกินทั้งนั้น  ในเมื่อกินแล้ว​ทำให้เกิดโรคได้  ก็ต้องกินแล้ว​รักษาโรคได้เช่นกัน  

()เรากินอาหารเพื่ออวัยวะ​ชิ้นไหนกันแน่ ?

เราอยู่ได้  เพราะอาศัยพลังงาน​จากอวัยวะทั้ง 5 

•  ตับดีชอบให้กินสีเขียว
•  หัวใจดีชอบให้กินสีแดง
•  ม้ามดีชอบให้กินสีเหลือง
•  ปอดดีชอบให้กินสีขาว
•  ไตดีชอบให้กินสีดำ

คำว่าดุลยภาพ หมายถึง​กินหลากหลายชนิด

• ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว
• หัวใจมีปัญหา     สีหน้าจะออกแดง
• ม้ามมีปัญหา      สีหน้าจะออกเหลือง
• คนไข้หอบหืด    สีหน้าจะออกขาว
• คนไข้ไตเสื่อม    สีหน้าจะออกดำ

()ว่าด้วยเรื่องอาหาร

• ถั่วเขียวบำรุงตับ

คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียว​จนเละซึ่งไม่ถูกต้อง
วิธีที่ต้มถั่วเขียว​ที่ได้ประโยชน์  ที่ถูกคือ ต้มให้น้ำเดือดประมาณ 5-6 นาที​ ก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด  รินเอาน้ำออก​จะได้น้ำถั่วเขียว  ที่มีสีเข้มข้นที่สุด  ดื่มแล้ว  มีสรรพคุณขับพิษสูงสุด  จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำ  ต้มต่อจนเละ  กินเป็นอาหาร

•  หัวใจชอบสีแดง    ให้กินถั่วแดง
•  ม้ามชอบสีเหลือง  ให้กินถั่วเหลือง
•  ปอดชอบสีขาว     ให้กินถั่วขาว
•  ไตชอบสีดำ         ให้กินถั่วดำ
 
ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว ? เพราะตำรายาจีนมีคำว่า “คนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุข ”

โภชนาการแผนจีน ก็เน้นว่า “กินไม่พ้นถั่ว”

ดังนั้น เราควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต​

()ในตำรายาจีน  ได้พูดถึง รสชาติ ไว้ดังนี้

•  เปรี้ยวบำรุงตับ       (หากกินมาก ตับพัง)
•  ขมบำรุงหัวใจ     (หากกินมาก หัวใจพัง)
•  หวานบำรุงม้าม      (หากกินมาก ม้ามพัง)
•  เผ็ดบำรุงปอด      (หากกินมาก ปอดพัง)
•  เค็มบำรุงไต         (หากกินมาก ไตพัง)

หมายความว่า  ต้องกินให้ครบทุกรสชาติ

()กินอาหารอย่างไร​จึงจะเหมาะ ?
ง่ายนิดเดียว ขอแนะนำว่า   แต่นี้ไป​ ให้กินผักดิบผลไม้สด แต่ละมื้อ
ถ้าเปลือกกินได้  ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี 
เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า  กินของดิบลดอาการร้อนใน   แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบ​ให้วิตามินดีกว่า

()ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้
“ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา  โรงพยาบาลที่ดีที่สุด คือ ห้องครัว ยาที่ดีที่สุด คือ อาหาร ที่มีคุณค่า  การรักษาที่ดีที่สุด คือเวลา ”
 
()ซินแสจีนแนะนำดังนี้
1. หลังจากฟัง​คำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
2. เขียนข้อความ “ก่อนถึงอายุ​ 99 ห้ามเข้า (โลง) เด็ดขาด” ติดไว้หน้าเตียง เพื่อสั่งจิตใต้สำนึกของเรา​ให้ดูแลร่างกายของเรา

() สรุปว่าต่อไปนี้​

-  กินอาหารให้เป็นยา  ไม่ใช่กินยา เป็นอาหาร
-  อารมณ์ดี หัวเราะ สามเวลา เพื่อห่างไกลจาก โรคและยา
- บริโภคถั่ว ตลอดชีวิต เพื่อบำรุง​อวัยวะทั้ง 5  คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต  ควรกินทั้ง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วขาว และ ถั่วดำ นั่นเอง !!!
- ให้กินผักดิบ ผลไม้สด​ที่สะอาดปลอดสารพิษ ถ้าเปลือกกินได้  ก็กินทั้งเปลือก
- กินอาหารให้ถูกต้อง  เปรียบเสมือน กินยาจากธรรมชาติ​ที่ดีที่สุดนั่นเอง !!!

   อ่านจบแล้ว
     ส่งต่อได้บุญนะ

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

หมดเงิน 5 ล้านไปกับการซื้อบ้าน

: หมดเงิน 5 ล้านไปกับการซื้อบ้าน
: เป็นเรื่องปกติ

: หมดเงิน 5 แสนไปกับการซื้อรถ
: เป็นเรื่องปกติ

: หมดเงิน 5 หมื่นไปกับการซื้อมอเตอร์ไซค์
: เป็นเรื่องปกติ

: หมดเงิน 5 พันไปกับการซื้อโทรศัพท์
: เป็นเรื่องปกติ

: หมดเงิน 1 พันไปกับการซื้อเสื้อผ้า
: เป็นเรื่องปกติ

: แต่หากต้องหมดเงินสักพันสองพัน
: ไปกับการตรวจเช็คสุขภาพประจำปี

: เรากลับส่ายหัวและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
: แพงไป,ไม่มีเงินหรอก,เสียดายเงิน

: เพื่อนๆที่รัก
: สุขภาพของเรามีค่าน้อยกว่า

: รถยนต์,มอเตอร์ไซค์,โทรศัพท์หรืออย่างไร???
: หากมีเงินแต่สุขภาพไม่ดี,ค่าของเงินอยู่ตรงไหน???

: เงินเอ๋ยเงิน
: บางคนยอมหันหลังให้กับคนรักก็เพราะเงิน

: บางคนยอมหันหลังให้กับญาติพี่น้อง
: ก็เพราะเงิน

: กระดาษใบนี้ไม่หนา
: แต่กลับทำให้คนไม่เป็นสุข

: กระดาษใบนี้ไม่ใหญ่
: แต่ทำให้คนกลัว

: กระดาษแผ่นนี้ไม่หนัก
: แต่ทำให้คนปวดหัว

: ก่อนหน้านั้นสัญญาจะเป็นจะตายไปพร้อมกัน
: แต่กลับไม่ยอมเผาผีกันก็เพราะกระดาษแผ่นนี้

: ก่อนหน้านั้นสัญญาจะอยู่กันจนแก่เฒ่า
: แต่น่าเศร้าเพราะขาดกระดาษแผ่นนี้

: ก็หลีกลี้หนีจากกันไป
: เพราะกระดาษแผ่นนี้

: คนในโลกนี้...

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

มะเร็ง คือ ธรรมชาติ ของการปรับตัว ของเซลล์

ห้ามผ่าน ต้องอ่าน ต้องอ่าน สำคัญมาก จนต้องแชร์

ดร. รุ่ง  จาก รพ. จุฬาส่งมาให้ น่าสนใจมาก

Shafin de Zane presents: What is Cancer?

นี่คือ สิ่งที่คุณ ไม่เคยคาดคิด มาก่อนเลยว่า จะมีผู้ใดกล่าวว่า - มะเร็ง คือ ธรรมชาติ
(Cancer is Natural)
มะเร็ง คือ ธรรมชาติ ของการปรับตัว ของเซลล์ อันเนื่องมาจาก การที่เลือดของเรา กลายเป็นพิษ เกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิต ต่อไปได้ ถ้าหาก เซลล์เหล่านั้น ไม่ปรับตัว เซลล์เหล่านั้น จะป่วย และตาย เซลล์เหล่านั้น จึงตอบสนอง อย่างเป็น ธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถ ที่จะปรับตัว เพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว ของเซลล์ จึงเป็นสิ่ง ที่เป็นธรรมชาติ
เป็นที่ น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอ ไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงผ่าเหล่า
ตั้งแต่แรก? อย่างไรก็ตาม- เมื่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมาก ก็จะผ่าเหล่า- ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็น
ผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก
จากมุมมอง ของเซลล์ หากมัน ไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่า ของเซลล์ จึงเป็นธรรมชาติ
มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายามรอดตาย จากสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้น ลงเอยด้วยการ- ฆ่าร่างกาย แต่นั้น ไม่ใช่ประเด็น ที่แท้จริง

มะเร็ง คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายาม จะรอดตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษอย่างสูง เราต้องพยายาม ทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ ให้ชัดเจน การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น -โดย ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับ การฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายาม เอาขยะออกไป
เอาละ คุณจะลงมือ อย่างฉับพลัน- เพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้อม ของคุณ อย่างรวดเร็ว ได้อย่างไร
มีวิธีการง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธีคือ:

👉วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ
สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน
เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจน ต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโต ได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการ จะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ - วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเช้า เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจน ให้กับเลือด
-- เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ
- หายใจเข้า 4ครั้ง ติดกัน กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง4
- หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน
ทำอย่างนี้ครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ทำอีกครั้งครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>>
กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4
หายใจออกทางปาก <<<<
หายใจ เข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดิน ในห้องนอน ของคุณ เพราะมันมีที่ พอสำหรับ
การออกกำลัง ของเราทุกวิธี

👉วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน -กรด
สิ่งที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ ให้ผ่าเหล่า กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนอง ที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่า จะตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นด่าง และเติบโต ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด คุณจะทำ ให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ ก็ด้วยการ รับประทาน
อาหารที่เป็นด่าง มากขึ้น
- น้ำผัก น้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก
- งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และ น้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
- รับประทาน ผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว หากคุณ ต้องการเห็น การเปลี่ยนแปลง ของสุขภาพ อย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่น ทุกเช้า โดยไม่ต้อง รับประทาน อะไรอีกเลย จนกว่าจะถึง มื้อเที่ยง -นำผักใบเขียว หลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาด แล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้าย และออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไป เมื่อคุณ คุ้นเคยกับมัน

👉วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
ความเครียด ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ
ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโรค -ทุกโรค ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่งผลกระทบ ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราจะต้อง ทำจิตใจ ให้แข็งแรง เบิกบานอยู่เสมอ
คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร ?
- ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการดู ข่าวร้าย
และ เรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เกิด แรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว

👏และแชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุด ที่คุณจะทำได้
ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการ บำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่าง เหนือคำบรรยาย
ช่วยให้ผู้อื่น ตื่นจากฝันร้าย ที่เกิดจาก โฆษณาชวนเชื่อ ของผู้ผลิตยา กันเสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ง เป็นสิ่งที่ง่ายดาย เสียจนแทบ จะเป็นเรื่องตลก อย่างเหลือเชื่อ
ใช้ความคิด ให้ถูกต้อง
จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะ การทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออก ที่ถูกต้อง
มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้- น่าอยู่ขึ้น

เครดิต ดร.ชนิสา อรรถจินดา Chanisa Arthachinda, Ph.D., ดร.รุ่ง รพ.จุฬา

ตีแผ่บทความ โดย นฤมล ฮอร์นบี  #TheiCon
กดติดตามเพจเปิ้ลได้นะคะ มีสาระดีๆมาฝากเพื่อนๆเป็นประจำค่ะ คลิ๊กที่ลิ้งค์ด้านล่างกดไลค์กดติดตามเพจได้เลยค่ะ
http://www.facebook.com/4goodlookingclub

ตอนใกล้ตาย มันมีความรู้สึกอย่างไร?

“ตอนใกล้ตาย” มันมีความรู้สึกอย่างไร? อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุยกับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไรคุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร
ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัวกลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ๆ ไปหมด ทุกอย่างที่เห็นเหมือนมองไปกลางถนนขณะแดดจัด ๆ ภาพต่าง ๆ จะเต้นระยิบระยับไปหมด

๒. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้ คือเริ่มไม่ได้ยินเสียงอะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

๓. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาวจับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

๔. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจจะหยุดหมด พลังงานทั้งหลายที่เคยไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใด ๆ ความรู้สึกสัมผัสหมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือนอยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่าผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death)

นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว

ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว

ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ “ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”

คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะยัง “ยึดติด” กับหลายเรื่อง

หรือที่ผมเรียกว่า “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการคือ

๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง
๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง
๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี
๔. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการอย่างนี้ เรียกว่าตายอย่าอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้นแปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก ๔ ประการคือ

๑. มีอารมณ์เฉย ๆ ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย
๒. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
๓. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต และเกิดปิติปลาบปลื้ม
๔. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละ, ผมจึงเห็นว่าการ “ฝึกตายก่อนตาย” ดั่งที่ท่านพุทธทาสเคยสอนเรานั้นเป็นเรื่องประเสริฐสุด

แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว
การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้นลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกตื่นรันทดและทรมานเพราะความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกธรรมะในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า “ขันธ์ทั้งห้า” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้

เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

40 วิธีทำตัวไม่ให้ "แก่"

40 วิธีทำตัวไม่ให้ "แก่"

1. ไม่อ้วนไม่ผอม

2. ไม่เที่ยว ดื่มน้ำสะอาด ทาครีม กางร่ม ฯลฯ

3. อย่าดัดผม อย่ายีผม อย่าฉีดสเปรย์

4. อย่าแต่งหน้าสีสันจัดจ้าน อย่าเขียนขอบตาสีดำ อย่าใส่ขนตาปลอม

5. อย่าจีบปากจีบคอ รอบๆ ริมฝีปากจะได้ไม่ย่น

6. อย่าหมกมุ่นเรื่องอดีต

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

กฎ 2 นาที = “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้”

กฎ 2 นาที = “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้”

คำหลัง..ยาวกว่าคำหน้านิดเดียว
แต่อนาคตยาวไกลกว่ากันเยอะ
– ประภาส ชลศรานนท์
ช่วงนี้ผมพยายามเตือนตัวเองให้ใช้ "กฎ 2 นาที" อยู่บ่อยๆ
กฎข้อนี้ ...มาจากของ David Allen ผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับ Productivity ที่ดังมากๆ ในอเมริกา
กฎ 2 นาที ที่ว่า ก็คือ.. ถ้าอะไรใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ก็ทำมันไปเลย
เช่น ตอนค่ำกลับมาถึงบ้าน กินน้ำผลไม้เสร็จแล้ว แทนที่จะแช่แก้วน้ำไว้ค้างคืน ก็ล้างมันซะเลย หรือ
เมื่อเช้านี้ ผมยกตะกร้าผ้าลงมาข้างล่าง เพื่อเอาเสื้อผ้าไปส่งซัก พอเดินถือตะกร้าเปล่ากลับมา ผมก็มีทางเลือกว่า...
จะวางตะกร้าไว้ข้างล่างก่อน เพื่อจะเดินไปกินข้าวในครัวหรือ
จะเอาตะกร้าผ้าขึ้นไปเก็บที่ห้องก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว
ธรรมดา...ผมจะเลือกอย่างแรกเพราะขี้เกียจเดินขึ้น-เดินลง
แต่คราวนี้ ...พอรู้ว่าการเอาของขึ้นไปเก็บก่อน ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ผมก็เลยเอาตะกร้าขึ้นไปเก็บเลยแล้วค่อยเดินลงมาทานข้าว อาจจะเสียแรงเพิ่มซักหน่อย แต่ก็ถือว่า...เป็นการออกกำลังกายไปในตัว