ยาจำพวกแอนตี้ไบโอติก หรือยาปฏิชีวนะได้รับการค้นพบโดยหลุยส์ ปลาสเตอร์-นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในทศวรรษที่ 1940 เป็นสารที่สร้างขึ้นและแยกได้จากจุลชีพชนิดหนึ่ง และออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตหรือทำลายเชื้อจุลชีพอีกกลุ่มหนึ่ง จุลชีพหรือเชื้อโรคนั้นๆ ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และเชื้อปรสิต ยาตัวแรกที่มีการนำมาใช้คือ เพนนิซิลิน โดย 150 หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาตัวยามาอีกหลายขนานด้วยกัน
เราสามารถแบ่งประเภทของยาแอนตี้ไบโอติกตามการออกฤทธิ์ของยา คือ
- แบบฆ่าหรือทำลายเชื้อ มักมีกลไกการออกฤทธิ์ต่อผนังเซลล์ และต่อเมมเบรนของแบคทีเรีย
- แบบยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ มักมีกลไกในการออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างโปรตีน ดังนั้นจึงต้องการระบบภูมิคุ้มกันมาเก็บเซลล์เม็ดเลือดกิน
โดยปกติหมอจะพิจารณาเลือกการใช้ยาแอนตี้ไบโอติกเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษา ด้วยปัจจัย 3 อย่างนี้คือ
- เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคและอาการนั้นๆ ต้องค้นหาให้แน่ชัดว่าเกิดจากเชื้ออะไร สมควรใช้ยาแอนตี้ไบโอติกหรือไม่ ความเข้มข้นระดับใด แต่แพทย์บางสถานพยาบาลซึ่งขาดอุปกรณ์ทางห้องปฏิบัติการอาจใช้การคาดคะเนชนิดของเชื้อตามสถิติที่พบ
- ตัวยาแอนตี้ไบโอติก โดยต้องรู้ว่ายานั้นๆ มีการดูดซึม กระจายตัว การเปลี่ยนสภาพของยา และการขจัดยาอย่างไร แพทย์จะต้องรู้ว่าบริเวณที่ติดเชื้อต้องมีเชื้อสูงพอที่ยาจะออกฤทธิ์เพื่อทำลายเชื้อ ความไวของเชื้อโรคประเภทนั้นๆ นำไปสู่การจัดขนาดยา ความถี่ห่างในการให้ยา และระยะเวลาการให้ยาที่เหมาะสม
- ตัวคนไข้ แพทย์ผู้สั่งยาต้องรู้สภาวะร่างกายของผู้ป่วย เพราะยาแอนตี้ไบโอติกต้องขจัดออกที่ไตและเปลี่ยนสภาพที่ตับ ซึ่งวัยทารกนั้นตับไตยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ส่วนผู้สูงอายุนั้น กลไกดังกล่าวมักเสื่อมประสิทธิภาพลง แพทย์ต้องพิจารณาปรับขนานยา
จำเป็นแค่ไหนต้องใช้ยาแอนตี้ไบโอติก
"ความจริงเกิดการติดเชื้อได้หลายสาเหตุ อาจจะด้วยภูมิคุ้มกันเราต่ำลง และเกิดจากบาดแผลทำให้ติดเชื้อได้"
ภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอิมมูนซิสเต็ม เมื่ออิมมูนซิสเต็มตก เชื้อโรคก็แพร่กระจายได้ดี แม้จะได้ยาแอนตี้ไบโอติกที่ได้จะถูกขนานถูกขนาด ในระยะเวลาที่แม่นยำขนาดไหนก็ตาม ทำให้อาการทุเลาลงอย่างเชื่องช้า และโอกาสที่เชื้อดื้อยาแอนตี้ไบโอติกจึงมีไม่น้อย และการกินยาแอนตี้ไบโอติกไปนานๆก็มีผลกระทบต่อตับและไตในระยะยาวได้
สเตียรอยด์...ยาครอบจักรวาล
สเตียรอยด์เป็นฮอร์โมนสำคัญซึ่งผลิตจากต่อมหมวกไต และตอนนี้มีบทบาทในการใช้รักษาโรคอย่างกว้างขวาง โดยจุดประสงค์หลักๆ ของแพทย์ที่ใช้ยาประเภทนี้คือ
- เพื่อทดแทนระดับฮอร์โมนในร่างกายที่ลดต่ำลง เนื่องจากต่อมพิทุอิทารี่และหมวกไตทำงานผิดปกติ
- เพื่อหวังผลในการออกฤทธิ์ต้านอาการอักเสบในขณะทำการรักษา (เสริมฤทธิ์ของยาแอนตี้ไบโอติกที่ดื้อยา) ไม่ได้เป็นการรักษาที่สาเหตุของโรค จึงต้องใช้ปริมาณสูงและติดต่อกันเป็นเวลานาน
ด้วยเพราะไม่ได้รักษาต้นเหตุ แต่ครอบคลุมนานาอาการ จึงทำให้สเตียรอยด์กลายเป็นยาที่เรียกว่า "ครอบจักรวาล" และมีเจือปนอยู่ในยาชุด ยาลูกกลอน ยาสมุนไพรอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะปัจจุบันสเตียรอยด์เป็นยาที่กระทรวงสาธารณสุขออกกฎหมายควบคุมการซื้อขาย คนทั่วไปจะซื้อได้โดยมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น
อย่างไรก็ตามทั้ง 14 โรคที่กล่าวมานั้น หลายโรคในระยะที่ยังไม่ป่วยมาก อาจไม่จำเป็นต้องกินยาสเตียรอยด์ แค่ปรับเปลี่ยนชีวิตเพื่อเพิ่มอิมมูนซิสเต็มตามแนวทางชีวจิต อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ไม่เชื่อลองติดตามอ่านประสบการณ์ของผู้ป่วย ข้อมูลต่างๆ ในนิตยสารชีวจิตได้
สเตียรอยด์...ทำลายทุกระบบ
ยาประเภทนี้ มีผลต่อระบบต่างๆในร่างกายมากมายคือ ต่อขบวนการเมตาบอลิซึ่ม ต่อปริมาณน้ำและเกลือแร่ ต่อระบบหมุนเวียนของเลือด ต่อระบบเม็ดเลือด ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ต่อระบบกล้ามเนื้อ โดยหากใช้ไปนานๆ จะมีอาการข้างเคียงคือ
- การติดเชื้อ เพราะสเตียรอยด์ขนาดสูงมีผลต่อระบบอิมมูนซิสเต็ม นอกจากทำให้อิมมูนซิสเต็มต่ำลงแล้ว ยังบดบังอาการที่เกิดจากการติดเชื้อบางอย่าง ซึ่งมีความเป็นไปได้ง่ายกว่าปกติ จึงมักพบโรคเมื่ออาการรุนแรงแล้ว
- กดการทำงานของระบบที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน การใช้ยาขนาดสูงเป็นเวลานาน จะทำให้ระบบนี้ไม่สามารถทำงานปกติได้ เมื่อถึงคราวต้องหยุดยา
- เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เพราะยาประเภทนี้ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลงและยับยั้งการส้รางเนื้อเยื่อใหม่มาทดแทน คนไข้ที่ใช้สเตียรอยด์อาจกระเพาะทะลุ มีอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยก็ได้
- มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ยาขนาดสูงอาจทำให้คนไข้รู้สึกเป็นสุขและติดการใช้ยาได้ หรือตรงกันข้าม บางรายอาจนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หงุดหงิด
- กระดูกผุ (Osteoporoxis) ต้องระวังมากในการใช้กับผู้สูงวัย
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของร่างกาย การใช้ยาประเภทนี้ในเด็กจะทำให้เจ้าตัวน้อยไม่เติบโตสมวัย
- อาการบวม สเตียรอยด์ชนิดสังเคราะห์ทำให้เกิดภาวะคั่งน้ำและเกลือแร่ขึ้น
- ทำให้ระดับโปแตสเซียมในเลือดต่ำ เพราะระหว่างกินยา จะทำให้เสียเกลือโปแตสเซียมทางปัสสาวะมาก ในรายที่ต่ำมากอาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อไม่มีแรง และหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหยุดเต้นได้
- ทำให้กล้ามเนื้อเปลี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณต้นขาและต้นแขน
- มีผลต่อดวงตา ในกรณีที่ใช้สเตียรอยด์ในรูปของยาหลอดตา จะทำให้ความดันลูกตาสูง มีโอกาสติดเชื้อง่าย
- มีผลต่อผิวหนัง ส่วนในรูปของยาทาภายนอก จะทำให้ผิวหนังบาง เป็นรอยแตก บางรายทำให้เกิดสิวได้ด้วย
- เกิดอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ เช่น ใบหน้าอ้วนกลม มีไขมันบริเวณหัวไหล่ลักษณะเป็นหนอก ปวดหรือเวียนศีรษะ ความดันสูง ตับโต ไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง
ที่มา : http://www.cheewajit.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น